เป็นกรรมของเรา เป็นบุญของเรา
ท่านอาจารย์ เราก็เคยพูดคำที่เราไม่รู้จักเสมอใช่ไหม จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมเช่นเป็นกรรมของเรา พูดบ่อยๆ ใช่ไหม เวลาที่สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น ถูกต้องไหม พออะไรเกิดขึ้น
ผู้ฟัง ทำไมถึงต้องเป็นเรา
ท่านอาจารย์ ทำไมถึงต้องเป็นเรา ตอนนี้เปลี่ยน เพราะต้องเป็นเรา เพราะเหตุว่าได้กระทำเหตุไว้แล้ว ผลที่เราได้กระทำแล้ว จะไปเกิดกับคนอื่นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นที่เกิดนี่แหละเพราะต้องเป็นเรา ที่ได้กระทำกรรมนั้นแล้ว แต่ว่าเราพูดมานี้ โดยมากเราก็ไม่ค่อยได้เข้าใจชัดเจนใช่ไหม แต่ธรรมละเอียดมาก เพราะฉะนั้นกรรมมีทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม แต่ว่าคนไทยชอบพูดว่า พออะไรไม่ดีก็เป็นกรรมของเรา หมายเฉพาะอกุศลกรรม แต่เวลาที่ได้ผลดี ทำไมไม่บอกว่าเป็นบุญของเรา
เพราะฉะนั้น ก็ต้องพูดให้ถูกต้อง ถ้าดีก็เป็นบุญของเรา ถ้าไม่ดี ความจริงบุญก็เป็นกรรมด้วย แต่คนไทยชินที่จะใช้คำว่า ไม่พูดว่าอกุศลกรรม แต่พูดว่ากรรม แต่อะไรที่ไม่ดีที่เป็นผลเกิดขึ้น ก็เพราะกรรมไม่ดี แต่ให้ทราบว่าทั้งดีและชั่ว ก็คือการกระทำ โดยสภาพธรรมที่เกิดขึ้นจงใจที่จะให้สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น กรรมเป็นธรรมหรือเปล่า ผลของกรรมเป็นธรรมหรือเปล่า กรรมเป็นธรรมอะไร ธรรมมีอะไรบ้าง รูปธรรม มีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร จะทำอะไรได้ เพราะไม่รู้ โต๊ะนี่จะไปทำอะไร ทำดีทำชั่วไม่ได้ ไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น สภาพรู้ก็มีจิตและเจตสิก เพราะฉะนั้น กรรมเป็นธรรมอะไร
ผู้ฟัง เป็นเจตสิก
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ตอนนี้ก็ชัดเจน เพราะว่าจิตแค่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ที่เราจะใช้คำว่า เห็น เห็นขณะนี้เป็นจิต เป็นหน้าที่ของจิตที่เกิดขึ้นทำทัสนกิจ กิจของจิตทั้งหมด มี ๑๔ กิจ กิจหนึ่งก็คือกิจเห็น ภาษาไทยเราใช้คำว่ากิจเห็น ภาษาบาลีก็เป็นทัสนะ ที่จะใช้ทัศนาจรอะไรพวกนี้ ทัศนะก็คือเห็น เพราะฉะนั้นขณะนี้จิตกำลังทำกิจเห็น เมื่อเกิด ทำอื่นไม่ได้เลย ต้องเกิดขึ้นทำกิจเห็น เพราะฉะนั้น เจตสิก ที่จงใจที่จะกระทำดีก็ได้ ชั่วก็ได้ ก็เป็นสภาพของเจตสิกชนิดหนึ่ง ภาษาบาลีคือ เจตนาเจตสิก (เจ-ตะ-นา-เจ-ตะ-สิก) แต่คนไทยชอบพูดว่า เจตนา (เจด-ตะ-นา) เช่น ไม่มีเจตนาหรอก ขอโทษทำอย่างนั้นไปเพราะไม่ได้เจตนา แต่ความจริงไม่ใช่
เพราะเจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ นี่ก็เป็นความละเอียดขึ้น เพราะฉะนั้นเจตนาที่เป็นเหตุที่เป็นกุศลก็มี เจตนาที่เป็นเหตุที่เป็นอกุศลก็มี เจตนาเกิดกับจิตทุกขณะ แม้จิตซึ่งเป็นผลซึ่งเกิดจากจิตที่เป็นเหตุ ก็ต้องมีเจตนาเกิดร่วมด้วย แต่ว่าสภาพของธรรมหลากหลายมาก สภาพธรรมที่เป็นเหตุ เป็นผลไม่ได้ สภาพธรรมที่เป็นผลก็จะเป็นเหตุไม่ได้ เพราะฉะนั้นผลทั้งหลาย ต้องเกิดจากเหตุ ด้วยเหตุนี้จิตจึงจำแนกเป็น เหตุ คือ กุศลจิตเป็นกุศลเหตุ อกุศลจิตก็เป็นอกุศลเหตุ ผลต้องมีต่างกัน อกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลวิบากจิต ถ้าเป็นสภาพที่ไม่รู้จะเป็นผลได้อย่างไร ไม่รู้อะไร แต่ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส นี่คือสภาพธรรมที่เป็นผลและเป็นจิต ส่วนจิตจะเกิดได้ก็ต้องมีเจตสิกอาศัยกันและกันเกิดขึ้นพร้อมกัน
