กรรม ได้แก่ เจตนาเจตสิก
กรรม ได้แก่ เจตนาเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพที่จงใจ ขวนขวาย เป็นเจตสิก ชนิดหนึ่งที่เกิดกับจิตทุกดวง ถ้ากล่าวอย่างนี้จะทำให้แปลกสำหรับท่านที่เข้าใจว่า เจตนาต้องเป็นเพียงกุศลเจตนาหรืออกุศลเจตนา แต่ความจริงแล้ว เจตนาเป็น สัพพจิตตสาธารณเจตสิก คือ เจตสิกที่ต้องเกิดกับจิตทุกดวง ทุกขณะ ทุกภพ ทุกชาติ ไม่ว่าจะเกิดที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะตื่นหรือจะหลับ ก็ต้องมีเจตนาเจตสิก เกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น ควรที่จะได้ทราบว่า เจตนาก็ต้องต่างกันเป็นชาติ ๔ ชาติ คือ ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นกิริยาก็มี ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี เพื่อที่จะได้เข้าใจจริงๆ ว่า กรรม ที่ใช้คำว่า กรรม และมโนกรรมนี้ คืออย่างไร
สำหรับเจตนาซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ขวนขวายในการกระทำ เป็นสภาพที่จงใจ เกิดกับจิตทุกดวง โดยเป็นสหชาตกัมมปัจจัย ชื่อฟังดูยาว แต่ความจริงง่าย คือ เมื่อเจตนาเป็นกรรม และเจตนาก็เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอื่นเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น เจตนาเป็นกัมมปัจจัย แต่เป็นกัมมปัจจัยโดยเกิดพร้อมกันกับธรรมอื่น ซึ่งเกิดเพราะเจตนานั้น จึงเป็นสหชาตกัมมปัจจัย สหชาต คือ เกิดร่วมกันนั่นเอง
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเข้าใจเรื่องของกรรมหรือมโนกรรม ให้เข้าใจลักษณะของเจตนาเจตสิกจริงๆ ว่า เป็นเจตสิกชนิดหนึ่งที่เกิดกับทุกขณะจิต ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ปฏิสนธิจิตก็มีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ขณะใดที่จิตเกิดขึ้น จิตเกิดขึ้นกระทำกิจของจิตนั้น และเจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมกับจิตนั้นก็กระทำกิจของเจตสิกนั้นๆ ร่วมกับจิต ซึ่งเจตสิกนั้นเกิดร่วมด้วย
ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น เจตนาเจตสิกขณะนั้นก็เป็นชาติวิบากเช่นเดียวกับจิต และเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต จิตทำกิจปฏิสนธิ คือ สืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เจตนาเจตสิกที่เกิดกับปฏิสนธิจิตนั้นก็ขวนขวายกระทำกิจของตนในขณะที่ ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น เป็นสภาพที่ขวนขวายในกิจโดยชาติที่เป็นวิบากที่เกิดร่วมกับปฏิสนธิ
นี่คือลักษณะของเจตนาเจตสิก ซึ่งใช้คำว่า กรรม เป็นสภาพที่จงใจ ขวนขวาย ไม่ว่าจะเกิดกับจิตขณะไหน เป็นชาติไหนทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น คงจะเข้าใจลักษณะของเจตนาแล้วว่า เกิดอยู่เป็นประจำ ไม่ขาดเลย เพราะว่าต้องเกิดกับจิตทุกประเภท [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1603]
สำหรับขณะที่ไม่ใช่วิบากและขณะที่ไม่ใช่กิริยา คือ ขณะที่ทุกชีวิตเมื่อ เกิดมาแล้ว ปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว ดับแล้ว ภวังคจิตเกิดต่อ และตั้งแต่เกิดมาจนถึง ทุกวันนี้ จะมีภวังคจิตเกิดมากเวลาที่หลับสนิท ขณะนั้นภวังคจิตเกิดพร้อมกับ เจตนาเจตสิกทำกิจของเจตนา เจตนาเจตสิกเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต ขณะนั้น ไม่ได้เป็นอกุศลหรือกุศล ขณะที่นอนหลับสนิท
เพื่อเข้าใจถึงลักษณะของมโนกรรม ควรเข้าใจตั้งแต่ขณะที่หลับสนิท ไม่ใช่กุศลและอกุศล และเวลาที่ตื่น ถ้ากล่าวถึงชวนจิต โดยไม่พูดถึงเรื่องของวิบาก คือ จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ ไม่พูดถึงกิริยา คือ ปัญจทวาราวัชชนะ โวฏฐัพพนะ หรือมโนทวาราวัชชนะ แต่พูดถึงขณะที่รู้สึกตัวและเกิดความชอบ หรือไม่ชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดในชีวิตประจำวัน ถ้าขณะใดเป็นอกุศล เจตนาที่เกิดร่วมกับอกุศลจิตก็เป็นอกุศลกรรม พูดอย่างนี้ ได้ไหม
นี่คือเรื่องที่ไม่ติดในศัพท์ แต่ต้องเข้าใจความหมายจริงๆ ว่า ขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้น เวลาลืมตาก็มีความต้องการที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในขณะนั้นเป็นอกุศลจิต เพราะฉะนั้น เจตนาซึ่งเป็นกรรมที่เกิดร่วมกับอกุศลจิต ในขณะนั้นเป็นอกุศลกรรม ได้ไหม
ธรรมเป็นเรื่องของเหตุผล เป็นเรื่องของความเข้าใจ เป็นอกุศลกรรม แต่ไม่ถึงอกุศลกรรมบถ คือ ไม่ใช่เป็นทางหรือเป็นเหตุที่จะให้เกิดการกระทำที่เป็นกรรม ที่เป็นอกุศลทางกาย หรือทางวาจา
ทุกคนตื่นขึ้นมามีโลภะเป็นปกติ อาบน้ำ แต่งตัว บริโภคอาหาร ทำงาน ขณะที่ไม่ใช่เป็นความรู้สึกขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ ขณะนั้นส่วนใหญ่เป็นโลภมูลจิต
ขณะที่บริโภคอาหาร เจตนาเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยกระทำกรรม คือ การเคลื่อนไหวพร้อมกับโลภมูลจิตที่เกิด แต่ไม่ใช่อกุศลกรรมบถ เจตนานั้นเป็นอกุศลกรรมแต่ไม่ถึงกับอกุศลกรรมบถ เพราะว่าในขณะนั้นยังไม่มีการกระทำทุจริต ทางกาย ทางวาจา และขณะนั้นเจตนาที่เกิดกับอกุศลจิตนั้น เป็นมโนกรรมได้ไหม
นี่คือเรื่องที่ถ้าจะแสดงธรรมโดยย่อ ก็ย่อ คือ กล่าวถึงเรื่องของเจตนาที่ เป็นกรรม และเรื่องของกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แต่ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดถึงจิตทุกๆ ขณะเพื่อให้เข้าใจจริงๆ โดยไม่ติดศัพท์ จะต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมว่า ขณะนั้นเป็นมโนกรรมได้ไหม
ขณะที่ตาเห็น ขณะหนึ่งขณะใดก็ตาม ก่อนที่จะเกิดการเห็นขึ้น เป็นภวังคจิต และเมื่อรูปารมณ์กระทบกับจักขุปสาท กระทบกับอตีตภวังค์ ดับไปแล้ว ภวังคจลนะเกิดต่อและดับไป ภวังคุปัจเฉทะก็เกิดต่อและดับไป ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดต่อ และดับไป จักขุวิญญาณเกิดและดับไป สัมปฏิจฉันนจิตเกิดต่อและดับไป สันตีรณจิตเกิดต่อและดับไป โวฏฐัพพนจิตเกิดต่อและดับไป ชวนจิตเกิดขึ้นเป็นโลภมูลจิต ๗ ขณะ เป็นกรรมหรือเปล่า
ถ้าจะพูดถึงเรื่องของกรรม ก็พูดให้ละเอียดไปเลยว่า เป็นกรรมไหม เจตนา ที่เกิดร่วมกับโลภมูลจิตทางปัญจทวารวิถี เป็นกรรมไหม เป็น แต่ไม่ใช่อกุศลกรรมบถ เป็นกรรมอะไร กายกรรม หรือวจีกรรม หรือมโนกรรม ถ้ากล่าวว่าเป็นกรรมก็ สามารถที่จะแสดงได้ว่าเป็นกรรมใด เป็นมโนกรรม ถูกหรือผิด
นี่เป็นเรื่องที่จะต้องคิดจริงๆ ถ้าถูกก็ถูก ไม่ต้องเกรงว่าจะผิดจากพยัญชนะ เพราะว่าพยัญชนะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเป็นภาษาบาลี เพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเท่านั้นเอง แต่เมื่อผู้ที่ฟังเป็นคนไทย ก็ใช้ภาษาที่ทำให้เข้าใจ ในลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ
อัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ อธิบายวิญญาณ ๕ มีข้อความว่า
พึงทราบว่า เจตนาซึ่งเกิดขึ้นตามทวาร ๕ ดังกล่าว ไม่เป็นกายกรรม ไม่เป็นวจีกรรม เป็นแต่มโนกรรมอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจถึงความต่างกันของมโนกรรมกับมโนกรรมที่ถึง ความเป็นกรรมบถ ถ้าขณะใดที่เจตนาเจตสิกเกิดกับกุศลจิตหรืออกุศลจิตซึ่ง ไม่ใช่เป็นไปในทางกาย หรือทางวาจา ขณะนั้นเป็นมโนกรรม และถ้าไม่ใช่เป็นไป ในอกุศลกรรมบถ ๑๐ หรือกุศลกรรมบถ ๑๐ ขณะนั้นก็ไม่ถึงความเป็นกรรมบถ หรือไม่ถึงความเป็นมโนกรรมที่เป็นกรรมบถ
ขณะที่กำลังบริโภคอาหาร แต่งตัวธรรมดา ทำกิจการงานตามปกติ มี เจตนาเจตสิกเกิดกับอกุศลจิตนั้นๆ แต่ไม่ใช่กายกรรมวจีกรรมที่เป็นอกุศลกรรมบถ แม้ที่เกิดกับปัญจทวารก็เป็นมโนกรรม ไม่ใช่กายกรรมและวจีกรรม
วันหนึ่งๆ ทำอะไรบ้าง หยิบช้อนส้อม จับถ้วยแก้ว กวาดถู ซักรีด เป็นอกุศลกรรมบถหรือเปล่า ไม่เป็น เจตนาที่เกิดกับจิตนั้นๆ เป็นอกุศลกรรม หรือเปล่า เป็น
ข้อสำคัญ คือ อย่าคิดมากที่จะเป็นความวุ่นวายสับสน ยากแก่การที่จะเข้าใจสภาพธรรมโดยชื่อ แต่สามารถเจริญสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และจะเริ่มเข้าใจในสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนขึ้น
พอไหมเท่านี้ ที่จะรู้ว่าเป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ก่อนที่จะเข้าใจความละเอียดของสภาพธรรมต่างๆ ที่ทรงแสดงไว้เป็นอันมากโดยชื่อ ซึ่งอาจจะทำให้ถ้าสติไม่เกิด ปัญญาไม่เจริญ ก็ไม่สามารถเข้าใจในสภาพธรรมนั้นๆ ที่ทรงแสดงไว้
ถ. มโนกรรมที่ถึงความเป็นกรรมบถเป็นอย่างไร
สุ. อกุศลกรรมบถทางมโนกรรมมี ๓ คือ อกุศลกรรมบถ ๑๐ มี กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓
ถ. ถ้าเป็นแต่เพียงคิด เจตนาที่เกิดกับกุศลจิตและอกุศลจิตที่เป็นแต่เพียงคิดเรื่องอกุศล กุศล ก็เป็นมโนกรรมเฉยๆ ไม่ถึงความเป็นกรรมบถ
สุ. ถ้าไม่เป็นไปในอกุศลกรรมบถที่เป็นมโนกรรม ๓ หรือกุศลกรรมบถ ที่เป็นมโนกรรม ๓ ก็ไม่ใช่กรรมบถ อกุศลกรรมที่เป็นมโนกรรม ๓ คือ ความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ อภิชฌา พยาบาท นี่เป็นฝ่ายอกุศลกรรมบถที่เป็นมโนกรรม
ถ. ถ้าไม่ถึงเป็นอภิชฌา ไม่ถึงเป็นพยาบาท ไม่ถึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็ไม่จัดเป็นอกุศลกรรมบถ
สุ. ไม่เป็นอกุศลกรรมบถ แต่เป็นมโนกรรม มโนกรรมนี่ไม่ใช่จะเกิดง่าย ที่จะเป็นอกุศลกรรมบถ แต่ที่ไม่ถึงอกุศลกรรมบถมีเป็นประจำ
ถ. แค่ไหนที่จะเป็นอภิชฌา อย่างเช่น เดินผ่านร้านเพชรที่พาหุรัด เห็นเพชรสวย กลับมาบ้านก็คิดถึง อยากได้ อย่างนี้เป็นอกุศลกรรมบถหรือยัง
สุ. เป็นทุจริตหรือเปล่า
ถ. ไม่เป็น แต่ยังอยากได้อยู่ แต่ไม่ได้ทำอะไร
สุ. แต่เป็นทุจริตหรือเปล่า ถ้าเป็นอกุศลกรรมบถ ต้องเป็นทุจริตกรรม
ถ. อภิชฌา ต้องเป็นทุจริต
สุ. ต้องเป็นทุจริต
ถ. อยากได้เฉยๆ ไม่เป็น
สุ. วันนี้อยากได้อะไรบ้าง แต่ละคนก็อยากได้ไปคนละอย่าง แต่ก็ไม่ได้กระทำทุจริตกรรมอะไร ก็เป็นมโนกรรมได้ เพราะว่ายังไม่ใช่กายกรรม ยังไม่ใช่วจีกรรม หลักคือ แม้แต่ชวนจิต คือ อกุศลทางปัญจทวารก็เป็นมโนกรรม เพราะว่า ยังไม่ได้กระทำวจีกรรมหรือกายกรรม และไม่ใช่กรรมบถ ยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็นทาง หรือเป็นคลองของธรรมที่จะทำให้เกิดผล คือ วิบาก
ปถ คือ คลอง ทาง หนทางที่จะทำให้เกิดผล คือ วิบาก
อกุศลกรรมบถที่เป็นมโนกรรม ไม่ใช่ว่าจะง่าย อย่างเช่น มิจฉาทิฏฐิ มีใครที่จะมีความเห็นว่า บุญไม่มี บาปไม่มี กรรมไม่มี บ้างไหม บางคนก็บอกว่า ไม่รู้ ไม่รู้ก็ไม่ใช่ว่าเห็นผิด แต่เป็นความไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ แต่ถ้ามีความเชื่อมั่น เห็นว่า ไม่มี ขณะนั้นเป็นความเห็นผิด เพราะฉะนั้น การที่จะมีความเห็นผิดต่างๆ ไป ก็ไม่ใช่ว่าจะง่ายนัก แต่ก็ไม่ยากสำหรับผู้ที่สะสมความโน้มเอียงที่จะเห็นผิดและขาดการพิจารณา
ทางฝ่ายความเห็นถูกที่เป็นมโนกรรม คือ สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่ง่าย ใช่ไหม
ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังธรรมที่สมบูรณ์พร้อมด้วยเหตุผล ก็ยากนักยากหนา ที่จะละความเห็นของตัวเองได้ ก็ย่อมเข้าใจว่า สิ่งที่ตนเองคิดนั้นถูกต้องแล้ว และถ้าศึกษาโดยขาดการพิจารณาก็อาจจะทำให้เข้าใจผิดในสภาพธรรม และมีข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิดด้วย เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า สัมมาทิฏฐิที่เป็นมโนกรรม ไม่ง่าย ต้องอาศัยการศึกษาและการพิจารณาให้ถูกต้องจริงๆ
เป็นมโนกรรมไหม ขณะที่กำลังฟัง กำลังศึกษา กำลังพิจารณา ไม่ได้อาศัยกายทำอย่างอื่นเลย และไม่ได้อาศัยวาจา หรือวจีด้วย แต่ในขณะนั้นกำลังพิจารณาในเหตุในผลของสิ่งที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น จึงเป็นมโนกรรมที่เป็นกุศลกรรมบถ
ถ. ถ้าผ่านร้านเพชรพลอย เราอยากได้ และนึกว่า ทำอย่างไรเราจึงจะได้ แต่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร นึกว่าจะต้องหาวิธี เงินจะซื้อก็ไม่มี ต้องหาวิธีว่า จะทำอย่างไร จะขโมย หรือปล้นเอาเพชรนั้นมา คิดอย่างนี้ แต่ยังไม่ได้มีการกระทำ ถือเป็นมโนกรรมหรือยัง
สุ. เป็น เพราะว่าคิดทุจริต ไม่ใช่คิดธรรมดา ความคิดมี ๒ อย่าง ใช่ไหม คิดที่เป็นทุจริตกับคิดที่เป็นสุจริต ถ้าคิดสุจริตจะคิดอย่างไร ไปซื้อ ถ้าคิดทุจริตก็ไม่ซื้อ
ถ. คิดหาวิธีได้มาด้วยหนทางอันไม่ชอบ เช่น ปล้น หรือหาโอกาสขโมย
สุ. นี่ก็เป็นอีกข้อหนึ่ง ซึ่งถ้ารู้ลักษณะของจิตที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แม้ว่าจะเป็นอกุศลหรือกุศล ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน พยายามที่จะรู้สภาพลักษณะความเป็นอนัตตาและละการยึดถือสภาพธรรมทั้งหลายว่า เป็นตัวตน ดีกว่าจะไปค้นคว้าด้วยชื่อและพยายามจะรู้ว่านี่เป็นอะไร โดยที่ว่าลักษณะของสภาพธรรมนั้นก็ดับไปแล้ว
เพราะฉะนั้น อย่าคิดมาก ถ้าทำให้สับสนยุ่งยาก แต่ควรที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ยังไม่ต้องไปถึงกรรมบถอะไร หรือมโนกรรม หรือทวารไหน หรือ อะไรก็ตาม เพียงแต่ให้รู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมจริงๆ
จากการที่ได้ยินได้ฟังเรื่องของนามธรรม ไม่ทราบว่ากี่ชาติมาแล้ว นามธรรมเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ รูปธรรมไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่สภาพรู้ ลักษณะของธรรม ทั้ง ๒ อย่าง ก็มีปรากฏที่จะให้ศึกษา จนกว่าจะค่อยๆ รู้ขึ้นในสภาพที่ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่าเป็นทวารไหน บางคนก็ขณะนี้ที่เห็นเป็นจักขุทวารวิถีหรือมโนทวารวิถี แค่นี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พึงจะกระทำ เพราะ เมื่อไม่สามารถรู้การเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของจักขุทวารวิถีและมโนทวารวิถี โดยการคิดเอา ก็ควรที่จะศึกษาลักษณะที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ในขณะที่กำลังเห็น และสิ่งที่ปรากฏก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งปรากฏตั้งแต่เกิดจนกระทั่ง ตายไป แต่สามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏทางตาเพิ่มขึ้นบ้างไหมในชาติหนึ่งๆ ว่า ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่สามารถกระทบกับจักขุปสาทเท่านั้นและก็ปรากฏ และก็ไม่ยั่งยืน นี่เป็นสิ่งที่จะต้องอบรมจนกว่าปัญญาจะรู้ชัด
สำหรับมโนกรรม คงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว และถ้าต้องการความละเอียด ก็มีในพระไตรปิฎกและในอรรถกถา ที่กล่าวถึงทั้งเรื่องของกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม หรือว่ากายทวาร วจีทวาร มโนทวาร เพราะถ้าจะให้ละเอียดจริงๆ ที่ ทรงแสดงไว้ อย่างเช่นใน มโนรถปูรณี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต จตุตถปัณณาสก์ พรรณนาสัญเจตนิยวรรคที่ ๓ เจตนาสูตร ข้อ ๑๗๑ มีข้อความว่า
ในบทเป็นต้นว่า กายสญฺเจตนาเหตุ ความว่า การสำเร็จแห่งเจตนา ในกายทวาร ชื่อว่ากายสัญเจตนา
ที่ได้ยินกันบ่อยๆ คือ มโนสัญเจตนา ซึ่งเมื่อเป็นมโนสัญเจตนาแล้ว ย่อมจะต้องมีกายสัญเจตนา และวจีสัญเจตนาด้วย
เจตนาเป็นสภาพธรรมที่จงใจขวนขวายที่จะกระทำ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นกับจิต และดับไป ก็ไม่หยุด ยังเกิดอีกกับจิตขณะต่อไป และก็ดับไป เพราะฉะนั้น ย่อมมีการจงใจขวนขวายที่จะกระทำกรรมทางกายและทางวาจาด้วย ไม่ใช่เพียงแต่เป็น มโนกรรมอยู่เรื่อยๆ ใช่ไหม
เจตนาเกิดกับจิต ขณะที่ไม่ได้เป็นไปทางกาย ทางวาจา เป็นมโนกรรม แต่ จะไม่ยุติเพียงเท่านั้น ยังจะต้องมีการจงใจขวนขวายที่จะกระทำต่อไปอีกทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง เพราะฉะนั้น ถ้าการสำเร็จแห่งเจตนาในทางกายทวารเกิดขึ้น ขณะนั้นก็เป็นกายสัญเจตนาหาร แสดงว่าเจตนาที่จะกระทำทางกาย ได้กระทำสำเร็จ จึงเป็นกายสัญเจตนาหาร
สำหรับเจตนาที่จะกระทำทางวาจา ที่จะกล่าวคำพูดใดๆ ก็ตามให้สำเร็จ ได้กระทำสำเร็จแล้ว ก็เป็นวจีสัญเจตนาหาร จะไม่อยู่เพียงแค่มโนสัญเจตนาหารเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวโดยประเภท จำนวนของจิต กายสัญเจตนา คือ เจตนาที่กระทำการสำเร็จของเจตนาตามที่ตั้งใจทางกาย มี ๘ อย่าง ด้วยสามารถ มหากุศลจิต ๘ และกายสัญเจตนานั้นมี ๑๒ อย่าง ด้วยสามารถอกุศลจิต ๑๒
แสดงว่าเวลาที่อกุศลจิต ๑๒ เกิดขึ้น จะมีความจงใจขวนขวายที่จะกระทำให้สำเร็จตามเจตนานั้นทางกายด้วย เพราะฉะนั้น ทางกาย ก็มีการขวนขวายกระทำอกุศลกรรมบถให้สำเร็จลงไปทางกาย เป็นกายสัญเจตนา
มีไหมในวันหนึ่งๆ ที่เป็นอกุศล ที่เป็นกายสัญเจตนา เห็นสิ่งที่ไม่พอใจ บางท่านอาจจะทำลายสิ่งนั้น เช่น ฆ่ามด ตบยุง หรืออะไรก็แล้วแต่ ขณะนั้นเป็น การสำเร็จของเจตนาที่เป็นไปทางกาย ถ้าไม่มีเจตนา จะฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยไหม ฆ่าไม่ได้เลยถ้าเจตนาไม่เกิด แต่เวลาที่มีการกระทำการฆ่า หรืออกุศลกรรมทางกายเกิดขึ้น ให้ทราบว่า มีเจตนาที่จะกระทำกรรมนั้นให้สำเร็จทางกาย ซึ่งอกุศลกรรม ทางกาย ๓ ได้แก่ การฆ่าสัตว์ที่มีชีวิต ๑ การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ๑ และการประพฤติผิดในกาม ๑ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1604]
ทางวาจาก็มีเจตนาในขณะที่ต้องการจะกล่าวคำไม่จริง คำเท็จ ที่เป็นมุสาวาท ในขณะที่ต้องการจะกล่าวคำส่อเสียด ในขณะที่ต้องการจะกล่าวคำหยาบคาย ในขณะที่ต้องการจะกล่าวคำเพ้อเจ้อ
เจตนาเกิดดับ มีอยู่แล้วที่ใจ แต่ก็ยังไม่พอ ยังต้องการให้สำเร็จลุล่วงออกไปทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง เพราะฉะนั้น เวลาที่เป็นอกุศลกรรมบถ หมายความว่า เจตนานั้นเป็นกรรม เป็น ปถ เป็นทางที่จะทำให้สำเร็จทางกายหรือทางวาจา
เพราะฉะนั้น กายสัญเจตนา ทั้งหมดจึงมี ๒๐ อย่าง คือ เป็นกุศล ๘ และอกุศล ๑๒ ตามประเภทของจิตในวันหนึ่งๆ
เวลานี้ทุกคนก็มีจิตประเภทต่างๆ ตามที่ศึกษา ถ้าจะมีการเคลื่อนไหวทางกาย ทางวาจา ต่อไปนี้ก็สังเกตลักษณะของเจตนาได้ คือ ความจงใจขวนขวายที่จะให้ การกระทำนั้นสำเร็จตามเจตนา ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง
แต่สำหรับมโนสัญเจตนาหารมีมากกว่านั้น คือ รวมมหัคคตเจตนาอีก ๙ จึงเป็น ๒๙
ข้อความในพระไตรปิฎก ยังแสดงละเอียดจนถึงเจตนาทางกายทวารที่ว่า มี ๒๐ ก็สามารถจะเป็นถึง ๘๐ ได้ ซึ่งข้อความในอรรถกถามีว่า
บัดนี้ การรวบรวมเจตนาอันบัณฑิตพึงประชุมลงในทวารทั้งหลายแม้ ๓
ถามว่า อย่างไรนี่
แก้ว่า
เจตนา ๒๐ อันมีกรรมอันตนเองทำเป็นมูลในกายทวาร ๑
เจตนา ๒๐ อันมีการชักชวน บังคับให้กระทำเป็นมูลในกายทวาร ๑
เจตนา ๒๐ อันมีการรู้ตัว คือ รู้ในเหตุ ในผล ในกรรม ในวิบาก เป็นมูล ในกายทวาร ๑
เจตนา ๒๐ อันมีการไม่รู้ตัว หรือว่าไม่รู้ในเหตุในผลเป็นมูลในกายทวาร ๑
รวมแล้วจากเจตนา ๒๐ คูณอีก ๔ เท่า จึงเป็นเจตนา ๘๐ ในกายทวาร
ถ้าจะให้ละเอียด ต้องเป็นเรื่องของการพิจารณาจิต เพราะว่าบางครั้งกุศล หรืออกุศลนั้นก็เกิดด้วยตนเอง เป็นการกระทำของตนเอง ตั้งใจเอง คิดเองที่จะทำ และก็ทำด้วยกุศลจิต ๑ ใน ๘ ประเภท หรือถ้าเป็นทางอกุศลกรรม ก็เป็นอกุศลจิต ๑ ใน ๑๒ ดวง แต่ทั้งหมดเมื่อเป็นเจตนา ๒๐ คือ ฝ่ายกุศล ๘ ฝ่ายอกุศล ๑๒ ทำเอง ๒๐ ไม่มีใครชักชวนเลย อีก ๒๐ เป็นเพราะคนอื่นอาจจะชักชวนหรือว่าบังคับ อย่างบางท่านจำต้องทำเพราะว่าคนอื่นสั่ง หรือเป็นหน้าที่ที่ต้องรับคำสั่งนั้น ก็รวมเป็น ๔๐ นอกจากนั้นแล้วยังเป็นผู้ที่ไม่รู้เลยว่า นี่คือกรรม บอกให้ทำก็ทำ แต่ไม่รู้ว่า ที่กำลังทำเป็นกุศลหรืออกุศลกรรมที่จะทำให้เกิดผล ก็เป็นการทำโดยไม่รู้อีก ๒๐ และสำหรับบางท่าน รู้และก็ทำ ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายอกุศลหรือทางฝ่ายกุศล ก็อีก ๒๐ จึงรวมเป็นเจตนาในกายทวาร ๘๐
ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย อย่าคิดว่าอยู่ในตำรา ข้อสำคัญไม่ได้อยู่ในตำรา แต่อยู่ในชีวิตของแต่ละคน แต่ละวัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงประมวลรวบรวมสภาพของเจตนา นั้นๆ ที่เป็นไปทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง ให้ทราบว่า ทั้งหมดมีประเภทเท่าไร ซึ่งถ้าเป็นทางกาย ๘๐ ทางวาจา ๘๐ แต่ทางใจนั้นถึง ๑๑๖ เพราะว่า เพิ่มมหัคคตะอีก ๙ เป็น ๒๙ คูณด้วย ๔ คือ ๑๑๖
เป็นเรื่องจำนวน ตัวเลข ซึ่งฟังแล้วลืมได้ไม่ต้องติดใจอะไร เพียงแต่ให้ทราบว่า นี่เป็นชีวิตจริงๆ ถ้าสติของใครจะเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมก็จะได้เห็นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ว่าจะทรงแสดงไว้ด้วยจำนวนเท่าไร ก็คือจิตของแต่ละคนนั่นเอง
ถ. ทำอย่างไรถึงจะไม่ให้มี
สุ. ทำอย่างไรถึงจะให้ไม่มี ต้องเจริญปัญญา เพราะสังขารทั้งหลาย ได้แก่ ปุญญาภิสังขารบ้าง อปุญญาภิสังขารบ้าง อเนญชาภิสังขารบ้าง มีอวิชชาเป็นปัจจัย
ถ. ต้องใช้สติไปกำหนดรู้ก่อน
สุ. ใช้สติได้หรือ
ถ. ให้เกิดปัญญา
สุ. ต้องอบรมเจริญสติ เพราะว่าสติยังไม่มี ต้องอบรมเจริญจนกว่าจะมี
ถ. อบรมสติในขณะที่เจตนากำลังจะเกิดขึ้น
สุ. พิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วแต่ว่าอะไรจะปรากฏ ไม่เจาะจง ขณะที่มีความเห็นถูก ขณะที่สติเกิด ขณะที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นก็เป็นมโนกรรมฝ่ายกุศล ไม่ใช่ว่าไม่เป็นกุศลกรรม เป็นกุศลกรรมที่เป็นมโนกรรม
ถ. ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นอกุศลกรรมบถขณะที่ทำ ผลของกรรมเมื่อเปรียบเทียบกับที่ไม่รู้ อย่างไหนจะแรงกว่ากัน
สุ. ที่ไม่รู้ต้องแรงกว่า เพราะอย่างไรๆ ก็ตาม เมื่อรู้แล้วก็ยังมีความ ไม่อยากจะกระทำ แต่ไม่สามารถจะต้านทานความเป็นอนัตตาได้
ถ. มโนกรรมที่เกิดทางปัญจทวาร ที่ไม่ถึงความเป็นอกุศลกรรมบถ จะให้ผลเป็นวิบากข้างหน้าไหม
สุ. ถ้าไม่เป็น ปถ คือ ไม่เป็นคลอง ไม่เป็นทางที่จะให้วิบากจิตเกิด ก็ ไม่เป็น
ถ. หมายความว่าเป็นกรรม แต่ไม่ให้ผลเป็นวิบาก ใช่ไหม
สุ. ถ้าใช้คำว่า กรรม หมายความถึงเจตนาเจตสิกทุกชาติทุกดวง เพราะฉะนั้น ที่จะไม่เป็นมโนกรรมนั้น ไม่มี ขณะใดที่ไม่เป็นไปในทางกาย ทางวาจา ยังไม่ถึงความเป็นกรรมทางกาย ทางวาจา
ถ. และกรรมที่ยังไม่ถึงกรรมบถ จะไม่ให้ผลเป็นวิบาก ใช่ไหม
สุ. ไม่ให้ผลเป็นวิบาก เพราะว่าเป็นการสะสมของจิต
ถ. เป็นกรรม
สุ. กรรม ได้แก่ เจตนาเจตสิก และเจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวงอยู่แล้ว เวลาที่เกิดทางปัญจทวาร มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ แม้เจตนาเจตสิกซึ่งเกิดกับ อกุศลจิต เช่น โลภมูลจิตทางปัญจทวาร ก็ชื่อว่ามโนกรรม แต่ไม่ใช่มโนกรรมที่เป็นอกุศลกรรมบถ
ถ. และไม่ให้ผลด้วย แต่สะสม ใช่ไหม
สุ. ไม่ได้เป็นอกุศลกรรมบถ เพราะฉะนั้น ก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดอกุศลวิบาก
ถ. ขณะที่ต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นสุจริต สามารถนำไปอบายได้ไหม
สุ. ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นทุกคนต้องไปอบายหมด ใช่ไหม ไม่มีทางรอด
ถ. ที่ว่าปฏิบัติศีล ๕ แสดงว่าศีล ๕ วิสุทธิจริงๆ ขณะนั้นต้องไม่มีอกุศลกรรมบถทุกขณะเลย ใช่ไหม
สุ. จิตเกิดทีละขณะ ขณะที่เป็นกุศล วิรัติทุจริต
ถ. บางทีมีเจตนา คือ อกุศลกรรมบถเกิด มโนกรรมก็เกิดต่อ สลับกันมาก
สุ. สลับอยู่เสมอเลย
ถ. จะมีหนทางทำให้มโนกรรมเกิดมากกว่าอกุศลกรรมบถหรือเปล่า
สุ. ต้องการฝ่ายกุศลเพิ่มขึ้น ใช่ไหม ต้องอบรมเจริญปัญญา
ถ. ต้องฟังมากๆ
สุ. ฟังแล้วต้องประพฤติปฏิบัติตามด้วย ข้อสำคัญที่สุด คือ อย่าเพียงฟัง
ถ. กรรมบถที่ปรากฏขึ้นมานั้น เป็นชวนจิตทั้งหมด ใช่ไหม
สุ. ถูกต้อง
ถ. มีความแตกต่างกันอย่างไรในชวนจิตดวงที่ ๑ ถึงดวงที่ ๗
สุ. แตกต่างกันที่ชวนะดวงที่ ๑ ยังไม่เป็นผลของอาเสวนปัจจัย เพราะว่าเพิ่งเกิดขึ้นเป็นขณะแรก
ถ. ชวนจิตทั้ง ๗ ดวง จำเป็นต้องเป็นกุศลหรืออกุศลเหมือนกันทั้งหมด ใช่ไหม
สุ. ถูกต้อง ไม่สลับกันเลย ๗ ขณะต้องเหมือนกันทีเดียว [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1605]
