ไม่เข้าใจบัญญัติ มีชีวิตเป็นอยู่ไม่ได้
ถ้าไม่เข้าใจสมมติบัญญัติต่างๆ แล้ว มีชีวิตเป็นอยู่ไม่ได้ แม้แต่จะรับประทานอาหารก็รับประทานไม่ได้แน่นอน ถ้าไม่มีจิตที่คิดนึกถึงจาน อุปกรณ์ในการบริโภคต่างๆ
เพราะฉะนั้น การมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ว่าคนนั้นเป็นผู้เห็นแล้วไม่คิด ได้ยินแล้วไม่คิด ไม่มีใครเลยในสังสารวัฏฏ์ที่เกิดมาแล้วจะไม่คิด แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า แม้การเห็นสิ่งที่ประณีตน่าพอใจ หรือเห็นสิ่งที่ ไม่น่าพอใจ ก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ฉันใด ความคิดนึกของแต่ละคนก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาฉันนั้น แล้วแต่การสะสม ซึ่งทำให้โลกนี้ก้าวไปเรื่อยๆ ด้วยกำลังของความคิดนึกสิ่งต่างๆ อยู่เรื่อยๆ
แต่สำหรับผู้ที่เข้าใจสภาพของโลกคือสภาพของจิตจะรู้ว่า ที่ว่าไม่มีสาระนั้น หมายความถึงไม่ยั่งยืน ต้องเข้าใจด้วยว่า ที่ไม่มีสาระ คือ ไม่ยั่งยืน ความคิดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ ไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียวซึ่งเกิดแล้วไม่ดับ ถ้ายังยึดถือมั่นในความคิดว่า เป็นตัวตน เป็นเรา นั่นคือความเห็นผิด แต่ผู้ที่มีปัจจัยที่จะให้คิดเพราะว่าเมื่อเห็นแล้วก็ต้องคิด เมื่อได้ยินแล้วก็ต้องคิด เมื่อได้กลิ่นก็ต้องคิด เมื่อลิ้มรสก็ต้องคิด คิดอยู่ตลอด แม้จะไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรสก็คิด แต่ควรจะ รู้ความจริงด้วย ซึ่งจะทำให้มีความสุขสงบเพิ่มขึ้นเมื่อรู้ความจริงว่า ความคิดไม่เที่ยง เป็นเพียงชั่วขณะจิตที่เกิดขึ้นและดับไป
เพราะฉะนั้น ไม่มีการไปบังคับบัญชาความคิด หรือไม่มีการไปเปลี่ยนแปลงการสะสมของเหตุปัจจัย แต่ปัญญาสามารถหยั่งลึกถึงการสะสมว่า เพราะเหตุใด จึงคิดอย่างนี้ เพราะว่าบางคนคิดเป็นอกุศลมากเหลือเกิน และบางคนก็คิดเป็นกุศล ซึ่งแล้วแต่การสะสม เพราะคงไม่มีใครอยากมีความคิดในทางอกุศลเท่านั้น มีแต่ อกุศลทั้งวันคงแย่ เพราะฉะนั้น ก็มีกุศลวิตกด้วย และกุศลวิตกที่ควรจะเพิ่มกำลังขึ้น คือ ต้องประกอบด้วยปัญญาที่รู้ความจริงว่า แม้ขณะที่คิดก็เป็นชั่วขณะจิตเดียว
ทุกคนที่วุ่นวายอยู่ในโลกและก็จากโลกนี้ไป ลืมหมด จะไปวุ่นวายกับโลกนี้ เมื่อไปเกิดที่อื่นก็เป็นไปไม่ได้ แต่จะวุ่นวายต่อไปกับความคิดในโลกอื่น ซึ่งไปเกิดเป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้ในภพอื่น
พอที่จะเห็นด้วยไหมกับคำพูดที่ว่า ไม่มีสาระ เพราะว่าเป็นแต่เพียงชั่วขณะจิตเดียวที่เกิดขึ้นและหมดไป แต่ไม่ใช่หมายความว่า ไม่มีการรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว มีชีวิตอยู่ไม่ได้แน่นอน
