เรื่องของบัญญัติอารมณ์
ในคราวก่อนเป็นเรื่องของบัญญัติอารมณ์ ซึ่งเป็นอารมณ์ที่มีอยู่เป็นประจำวัน ขณะใดที่ไม่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ขณะนั้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น ลองคิดดูว่า วันหนึ่งๆ มีบัญญัติเป็นอารมณ์มากไหม ทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่ ได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่กระทบสัมผัส ทางใจที่คิดนึก จะมีอารมณ์อื่นอีกได้ไหม นอกจากปรมัตถอารมณ์กับบัญญัติอารมณ์
ในวันหนึ่งๆ ตลอดชาตินี้ ชาติก่อน ชาติหน้า ทุกภูมิ ทุกโลก จะมีอารมณ์อื่นนอกจากปรมัตถอารมณ์กับบัญญัติอารมณ์ได้ไหม ลองคิดดู มีได้ไหมอารมณ์อื่น นอกจาก ๒ อารมณ์นี้
ตอบว่า ไม่ได้ เพราะอารมณ์มี ๖ เท่านั้น และในอารมณ์ ๖ นี้ นอกจากปรมัตถธรรมก็เป็นบัญญัติ เพราะฉะนั้น ไม่มีอารมณ์อื่นอีก
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีบัญญัติเป็นอารมณ์หรือเปล่า ถ้าพูดถึงคนธรรมดา ชีวิตประจำวันของทุกคน เห็น จักขุทวารวิถีจิตดับหมดแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีจิตมีปรมัตถอารมณ์เดียวกับจักขุทวารวิถีจิตที่เพิ่งดับไปวาระหนึ่ง ภวังค์คั่น มโนทวารวิถีจิตที่เกิดต่อมีการนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ เพราะสิ่งที่ปรากฏทางตา แท้ที่จริงแล้วเป็นรูปๆ หนึ่ง ซึ่งเกิดกับมหาภูตรูป ๔ คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม
เอาสีออกจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ได้ไหม เพราะที่ใดก็ตามที่มีมหาภูตรูป ๔ ที่นั้นต้องมีสี คือ วัณณะ และมีกลิ่น รส โอชา รวมอยู่ด้วย ซึ่งอย่างน้อยที่สุดต้องมีรูป ๘ รูปรวมอยู่ในกลุ่มหนึ่งๆ ของรูป เพราะฉะนั้น เมื่อไม่สามารถเอาสีออกจากมหาภูตรูปได้ สีจึงปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งซึ่งบัญญัติให้รู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏนั้นคืออะไร
ทางตาที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่มีสีเลย เอาสีออกให้หมดจากมหาภูตรูป สามารถที่จะเห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ได้ไหม ก็เห็นไม่ได้ แต่เมื่อมี สีสันวัณณะต่างๆ ซึ่งเกิดกับมหาภูตรูป จึงปรากฏให้เห็น ทำให้บัญญัติสิ่งที่ปรากฏทางตา รู้ความหมายโดยอาการใดๆ นั่นคือบัญญัติ ทำให้รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1353
อารมณ์มี ๒ อย่าง คือ ปรมัตถธรรมอย่างหนึ่ง บัญญัติธรรมอย่างหนึ่ง ขณะใดที่ไม่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ขณะนั้นต้องมีบัญญัติเป็นอารมณ์ ลืมไม่ได้เลย การที่กล่าวถึงเรื่องนี้บ่อยๆ เพื่อเกื้อกูลให้สติระลึกลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ถูกต้องว่า ทางตาในขณะที่สิ่งที่กำลังปรากฏเป็น สีสันวัณณะต่างๆ เพราะเอาสีออกจากมหาภูตรูปไม่ได้ จึงปรากฏให้เห็นสีของ มหาภูตรูป ทำให้เห็นเป็นบัญญัติต่างๆ ขึ้น เพราะฉะนั้น เวลาที่สติระลึก จะต้องแยกระลึกให้ถูกต้องว่า ทางตาที่กำลังปรากฏ คือ สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสีสันต่างๆ เท่านั้น ส่วนในขณะที่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ขณะนั้นเป็นมโนทวารวิถีจิต
เมื่อได้ศึกษาอย่างนี้แล้วจะเห็นได้ว่า ชีวิตประจำวันของทุกคน ทุกชีวิต ตามความเป็นจริง ต้องมีขณะที่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์บ้าง และมีขณะที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์บ้าง สืบต่อกัน เช่น ทางตาที่เห็น ไม่ได้เห็นแต่ปรมัตถอารมณ์ทาง จักขุทวารวิถี เมื่อจักขุทวารวิถีดับหมดแล้วถึงมโนทวารวิถี มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ไม่ว่าใครทั้งนั้น มิฉะนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่รู้บัญญัติว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นอาหาร เป็นถ้วย เป็นจาน เป็นช้อน เป็นส้อม จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เลย แต่ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ปรากฏ เป็นสีซึ่งติดอยู่กับมหาภูตรูป จะเอาสีนั้นออกจาก มหาภูตรูปไม่ได้ จึงปรากฏว่าบัญญัติเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องมีบัญญัติ เป็นอารมณ์ สัตว์ดิรัจฉานก็ต้องมีบัญญัติเป็นอารมณ์เหมือนกัน มีใครบ้างที่ไม่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ไม่มีเลย
