วิปัสสนาญาณรู้ทางมโนทวาร


    . วิปัสสนาญาณ หรือวิปัสสนาปัญญานี้ จะเกิดได้ทางมโนทวารทางเดียว หรือว่าสามารถจะเกิดทางปัญจทวารก็ได้

    สุ . ถ้าวิปัสสนาญาณ ความรู้ชัด ความสมบูรณ์ของปัญญาจริงๆ จะรู้ทาง มโนทวาร ขณะนี้กำลังเห็นรูปารมณ์ที่กระทบจักขุปสาทรูป มีอายุ ๑๗ ขณะของจิตจึงจะดับ เพราะฉะนั้น เวลาที่รูปารมณ์กระทบอตีตภวังค์ ๑ ขณะ ภวังคจลนะ ๑ ขณะ ภวังคุปัจเฉท ๑ ขณะ ๓ ขณะที่เป็นภวังค์

    ภวังคจิตทั้งหมด ไม่ใช่วิถีจิต จิตอื่นที่ไม่ใช่ภวังคจิต เป็นวิถีจิต

    ภวังคจิตรู้อารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต ซึ่งมีอารมณ์เดียวกับจิตใกล้จะจุติในชาติก่อน ไม่ใช่การรู้อารมณ์ คือ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะในปัจจุบันชาติ ที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะฉะนั้น ภวังคจิตทั้งหมดไม่ใช่วิถีจิต จิตอื่นนอกจากนั้นทั้งหมดชื่อว่า วิถีจิต ซึ่งแล้วแต่ว่าวิถีจิตจะรู้อารมณ์โดยอาศัยปสาท หรือทางมโนทวาร

    เพราะฉะนั้น เวลาที่รูปารมณ์กระทบกับอตีตภวังค์ ๑ ขณะ ภวังคจลนะขณะที่ ๒ ภวังคุปัจเฉทขณะที่ ๓ ยังไม่ใช่วิถีจิต จิตเหล่านั้นยังไม่มีรูปารมณ์เป็นอารมณ์ เมื่อภวังคุปัจเฉทดับไปแล้ว ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิต เพราะรู้อารมณ์ที่กระทบที่ จักขุทวาร และก็ดับไป เป็นปัจจัยให้จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็นสีที่ยังไม่ดับ จักขุวิญญาณเป็นวิถีจิตเพราะกำลังรู้อารมณ์ คือ สีที่กำลังปรากฏที่ยังไม่ดับ เมื่อ จักขุวิญญาณดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนเกิดขึ้นรับรู้รูปารมณ์คือสีนั้นต่อ โดยที่ยังไม่รู้ความหมายว่าเป็นอะไร นี่เป็นการรู้ปรมัตถอารมณ์ทางปัญจทวารวิถี ซึ่งถ้าเป็นทางตา จิตที่มีปรมัตถอารมณ์ คือ รูปารมณ์ที่ยังไม่ดับ เป็นจักขุทวารวิถีทั้งหมด

    คำว่า จักขุทวารวิถี หมายความถึงวิถีจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์เพราะอาศัย จักขุทวาร มีปรมัตถอารมณ์ คือ รูปารมณ์ที่ยังไม่ดับไปเป็นอารมณ์ เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้สันตีรณจิตซึ่งเป็นวิถีจิตเกิดขึ้นรู้รูปารมณ์นั้น แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรเหมือนกัน เพียงแต่พิจารณาตามลักษณะของอารมณ์นั้น และก็ดับไป

    วิถีจิตทางปัญจทวารทั้งหมดมีปรมัตถอารมณ์ โดยที่ยังไม่รู้ว่าอารมณ์นั้นเป็นอะไร เมื่อสันตีรณจิตดับไป โวฏฐัพพนจิตเกิดขึ้น กำหนด มนสิการชวนะที่จะเกิดขึ้น ซึ่งก็แล้วแต่การสะสมของจิต ถ้าเป็นผู้ที่มีโยนิโสมนสิการ โวฏฐัพพนจิตที่เกิดขึ้นก็เป็นโยนิโสมนสิการแล้วก็ดับ เป็นปัจจัยให้ชวนจิตที่เกิดขึ้นเป็นกุศลจิต แต่ถ้าเป็นอโยนิโสมนสิการ ก็เป็นปัจจัยให้อกุศลจิตเกิดขึ้น เป็นโลภมูลจิตก็ได้ โทสมูลจิตก็ได้ โมหมูลจิตก็ได้ ในขณะที่มีรูปารมณ์เป็นปรมัตถอารมณ์ โดยที่ยังไม่รู้ว่าสภาพนั้นเป็นอะไร

    จิตทั้งหมดทางปัญจทวารวิถี มีปรมัตถ์อารมณ์แต่ละทางเป็นอารมณ์ ซึ่งอารมณ์นั้นยังไม่ดับ เพราะปรมัตถอารมณ์ที่เป็นรูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ฉะนั้นเมื่อชวนจิตเกิดดับสืบต่อกัน ๗ ครั้ง ก็ยังมีอารมณ์ที่ยังไม่ดับอีก ๒ ขณะจิต จึงเป็นปัจจัยให้ตทาลัมพนจิตเกิดขึ้น รับรู้อารมณ์เดียวกันกับชวนจิตนั้น

    ตทาลัมพนจิตเป็นวิบากจิต เกิดขึ้นเพราะยังเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น กรรมที่กระทำที่เกี่ยวข้องกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้น เป็นปัจจัยให้วิบากจิต คือ ตทาลัมพนจิต เกิดขึ้นรู้อารมณ์เดียวกับ ชวนจิต เมื่อตทาลัมพนจิตเกิดแล้วก็ดับไป ๒ ขณะ อารมณ์นั้นก็ดับ ซึ่งตลอดระยะเวลาเหล่านี้ จิตจะรู้อื่นที่นอกจากปรมัตถอารมณ์ไม่ได้

    แต่นามรูปปริจเฉทญาณ คือ ปัญญาที่รู้ชัดในสภาพของนามธรรมและรูปธรรม เพราะการอบรมสติและปัญญา จนสามารถที่จะแยกลักษณะที่ต่างกันโดยเด็ดขาดของนามธรรมและรูปธรรม เช่น ทางตาในขณะนี้ ถ้าท่านผู้หนึ่งผู้ใดจะเพียงระลึก และรู้ว่าเห็นเป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม และสิ่งที่กำลังปรากฎทางตาเป็นแต่เพียงรูปธรรม เป็นสิ่งที่ปรากฎทางตา ไม่ใช่สภาพรู้ ท่านเห็นเป็นอย่างนี้ แต่ขณะที่กำลังเห็นอย่างนี้ ท่านแยกไม่ขาดว่า ลักษณะที่เป็นสภาพรู้อย่างไรจริงๆ ที่จะแยกออกจากกัน

    หรือว่าทางหู สติก็ระลึกรู้ว่า ที่กำลังปรากฎทางหู ลักษณะนี้เมื่อทิ้งอย่างอื่นหมด มีแต่เสียงที่กำลังปรากฎ สติก็รู้ในลักษณะของเสียงนั้น และลักษณะของนามธรรมที่รู้เสียง ที่จะต้องระลึกแล้วก็รู้ว่า ที่กำลังรู้เสียงเป็นสภาพรู้เท่านั้น เป็นสภาพรู้เสียงที่กำลังปรากฎ ไม่ใช่นามธรรมอื่น ไม่ใช่คิดนึก แต่เป็นสภาพรู้ที่กำลังรู้เสียง [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 251]

    ความสมบูรณ์ของปัญญาที่จะประจักษ์ในลักษณะของนามธรรมที่เป็นสภาพรู้ โดยไม่มีอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเลย การที่จะประจักษ์ลักษณะของรูปธรรมโดยไม่มีอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเลย จะต้องเป็นการรู้ชัดทางมโนทวาร เพราะว่าเวลาที่จิตรู้สีทางจักขุทวารวิถีดับหมดแล้ว เป็นปัจจัยให้ภวังค์ไหว และจิตทางมโนทวารรับรู้สีซึ่งเป็นปรมัตถ์ สืบต่อทันทีอย่างรวดเร็วก่อนที่จะรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร ทางหูก็เหมือนกัน เวลาที่จิตที่รู้เสียงทางโสตทวารวิถีดับหมดแล้ว เป็นปัจจัยให้ภวังคจิตไหว และจิตทางมโนทวารรับรู้เสียงนั้นต่อจากทางโสตทวารวิถี ขณะนี้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ว่าไม่ประจักษ์ชัดในลักษณะที่แยกขาดจากกันจริงๆ

    ถ้าท่านผู้ฟังหลับตา มีเสียงปรากฏ และมีสี สว่างพอสมควรใช่ไหม ยังแยกไม่ขาดจากกันใช่ไหม เพราะว่าทางมโนทวารที่รู้ชัดที่รับรู้อารมณ์ต่อจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ยังไม่ปรากฏโดยสภาพความเป็นอนัตตาว่าเป็นอย่างไร

    การที่ท่านจะรู้ชัดในลักษณะของนามธรรม ท่านรู้ทางตาไม่ได้ เพราะว่านามธรรมไม่ใช่รูปารมณ์ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ทางตา และท่านจะรู้ชัดในลักษณะของนามธรรมอย่างเสียงทางหูก็ไม่ได้ เสียงถึงแม้จะไม่มีสีสันวัณณะ แต่ปรากฏให้รู้ได้ทางหู แต่จะรู้นามธรรมทางหูไม่ได้ เพราะว่านามธรรมเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ไม่มีรูปร่างที่จะปรากฏเหมือนอย่างสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมที่เป็นความรู้ชัด จึงต้องเป็นทางมโนทวารวิถี

    และเพราะเหตุว่า มโนทวารวิถีรู้ทั้งสี รู้ทั้งเสียง รู้ทั้งกลิ่น รู้ทั้งรส รู้ทั้งโผฏฐัพพะต่อจากปัญจทวารวิถี เมื่อสติมั่นคง อารมณ์นั้นก็ปรากฏโดยสภาพที่เป็นอนัตตาทั้งหมด จึงเป็นความรู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามความมั่นคงของสติที่รู้ในขณะนั้น ตามความสมบูรณ์ของวิปัสสนาญาณนั้น ซึ่งโดยสภาพแล้วเป็นอนัตตาทั้งหมด แม้แต่นามรูปปริจเฉทญาณ ไม่มีการที่จะไปบังคับ หรือมีกฏเกณฑ์ได้เลย ไม่มีความสงสัยในลักษณะของมโนทวารวิถี สำหรับนามรูปปริจเฉทญาณ

    . สมมติว่า ผู้ฟังที่นั่งอยู่ที่นี่มีมหากุศลจิตที่เป็นญาณสัมปยุตต์เกิดขึ้น รู้สีที่เป็นปัจจุบัน นั่นเป็นปัญญา หรือว่าเป็นวิปัสสนาปัญญา

    สุ . วิปัสสนาญาณ เป็นความสมบูรณ์ที่รู้ชัดทางมโนทวารสำหรับผู้ที่กำลังมีสภาพธรรมปรากฏและกำลังรู้ แต่สำหรับผู้ที่กำลังระลึก ลักษณะย่อมต่างกัน จะเป็นวิปัสสนาญาณไม่ได้ สำหรับผู้ที่พึ่งเริ่มระลึกและพึ่งจะรู้บ้าง

    การที่ประจักษ์แจ้งในสภาพของนามธรรมและรูปธรรมโดยความสมบูรณ์ของปัญญา ในขณะนั้นจะต้องไม่มีความสงสัยเลยในลักษณะของนามธรรม คือ ธาตุรู้ ว่าเป็นอย่างนี้ เป็นแต่เพียงสภาพรู้เท่านั้น และรูปธรรมแต่ละรูป ไม่ใช่ควบคุมประชุมรวมกันเป็นท่าทาง แต่มีลักษณะปรมัตถธรรมปรากฎในแต่ละทาง แล้วแต่ว่าขณะที่วิปัสสนาญาณเกิดปรากฎนั้น มีสภาพธรรมใดเป็นอารมณ์ตามปกติตามความเป็นจริงในขณะนั้น ซึ่งเลือกไม่ได้ว่า จะมีนามธรรมกี่ชนิดและนามธรรมประเภทไหน จะเป็นรูปธรรมอะไร ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกายอย่างไร แล้วแต่สภาพธรรมที่เกิดปรากฎในขณะนั้นเพราะเหตุปัจจัย

    วิปัสสนาญาณ เป็นความมั่นคงของสติและปัญญาที่กำลังรู้ชัดในสภาพของนามธรรมและรูปธรรมทางมโนทวารวิถี ซึ่งลักษณะของนามธรรมกี่ชนิดจะปรากฎ รูปธรรมกี่ชนิดจะปรากฎแก่แต่ละบุคคลนั้น ย่อมแล้วแต่ปัจจัยที่เกิดปรากฎในขณะนั้น แต่ไม่ใช่นามเดียว ไม่ใช่รูปเดียว และวิปัสสนาญาณก็ดับ เมื่อดับแล้วก็เป็นการศึกษา สำเหนียก สิกขา สังเกต สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามปกติตามธรรมดา แต่ผู้นั้นรู้ความต่างกันของขณะที่เป็นวิปัสสนาญาณ กับขณะที่สติระลึกรู้ตามปกติตามธรรมดา เพื่อจะอบรมต่อไปอีก เพื่อให้เป็นความรู้ชัดที่เป็นวิปัสสนาญาณ เมื่อสมบูรณ์ด้วยเหตุแล้ว ก็เกิดอีก แต่ไม่ใช่ว่าขณะที่กำลังระลึกรู้ตามปกติ ก็เป็นวิปัสสนาญาณทั้งนั้น

    . การระลึกรู้ทางปัญจทวารก็มีสติเกิดร่วมด้วยได้ ซึ่งทางปัญจทวารรู้รูปเท่านั้น รูปอะไรไม่ต้องไปคำนึงถึง จะเป็นรูปสี รูปเสียง กลิ่น รส อะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ใช่รู้นาม รู้นามนั้นต้องไปรู้ทางมโนทวาร แต่สงสัยว่า การระลึกรู้ทางปัญจทวารที่มีสติเกิดร่วมด้วย และมีญาณสัมปยุตต์ด้วยนี้ จะเรียกว่าวิปัสสนาได้หรือไม่

    สุ . เวลานี้ ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่รู้รูปอย่างเดียวแน่นอน รู้นามด้วย แต่คนละขณะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็คนละขณะ มีการได้ยินเกิดขึ้น เป็นจิตที่รู้เสียงทางโสตทวารวิถี หลายขณะจิต ดับไปแล้ว และก็มีจิตที่เกิดขึ้นรับรู้เสียงต่อจากทางโสตทวารวิถี คือ มโนทวารวิถีจิต รับรู้เสียงต่อจากทาง โสตทวารวิถี หลายวิถี หลายขณะ แต่ไม่ปรากฏลักษณะของมโนทวารวิถีเลยว่า มโนทวารวิถีจิตรู้เสียงต่อจากโสตทวารวิถีเป็นอย่างไร มโนทวารวิถีจิตรู้กลิ่นต่อจากฆานทวารวิถีจิตเป็นอย่างไร ขณะนี้ไม่ปรากฏ เพราะว่าปรากฏสีทางตา เสียงทางหู ถ้ามีกลิ่นปรากฏก็ทางจมูก แต่ไม่รู้ว่ามโนทวารวิถีจิตรู้สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ต่อนั้นมีลักษณะอย่างไร จึงไม่ใช่ความรู้ชัด ยังเหมือนกับก้าวก่ายกันอยู่ กำลังเห็นก็มีเสียง มีเย็น ทั้งๆ ที่กำลังเห็น

    แต่ถ้าเป็นความรู้ชัด จะแยกลักษณะของรูปธรรมแต่ละรูปขาดจากกัน นามธรรมขาดจากกัน เพราะมโนทวารวิถีคั่น และผู้ที่รู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเป็นนามรูปปริจเฉทญาณทางมโนทวารวิถี ไม่มีความสงสัยเลยว่า มโนทวารวิถีจิตมีลักษณะอย่างไร รู้รูปต่อจากทางปัญจทวารวิถีแต่ละรูปอย่างไร

    มหากุศลญาณสัมปยุตต์เกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร โดยเฉพาะเวลาที่เป็นวิปัสสนาญาณ การที่มโนทวารวิถีจิตจะรู้เสียง ถ้าไม่รู้ต่อจากโสตทวารวิถีจะได้หรือ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น จิตที่กำลังรู้เสียงในขณะที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ แม้ทางปัญจทวารวิถี คือ โสตทวารวิถี ก็ต้องเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์

    โดยมากท่านผู้ฟังอดไม่ได้ที่จะหวังผลของการเจริญสติปัฏฐาน เมื่อมีความรู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเล็กน้อย ทีละนิดทีละหน่อย ก็อดที่จะเทียบเคียงไม่ได้ว่าเป็นความรู้ชัดแล้วใช่ไหม เป็นนามรูปปริจเฉทญาณแล้วใช่ไหม เพราะว่าถ้าฟังตามชื่อของญาณ นามรูปปริจเฉทญาณ ก็เป็นความสมบูรณ์ของปัญญาที่รู้ชัดในความต่างกันในสภาพที่ต่างกันของนามธรรมและรูปธรรม

    ฟังเผินๆ เหมือนไม่ยาก เพราะเหตุว่าโดยขั้นการศึกษา ทราบแล้วจากการศึกษาปรมัตถธรรม ๔ ว่า รูปธรรมได้แก่ รูปขันธ์ ส่วนนามธรรมได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นนามธรรม และทราบด้วยว่า นามธรรมเป็นสภาพรู้ ส่วนรูปธรรมนั้นไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น ดูเหมือนว่ารู้แล้ว ซึ่งบางท่านอาจคิดว่า เท่านี้ไม่พอหรือที่จะเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ เพราะว่าขณะใดที่สติระลึกรู้ ก็ค่อยๆ รู้ขึ้น จนบางท่านกล่าวว่า ชัด รู้ชัดว่าสภาพนั้นเป็นนามธรรม สภาพนี้เป็นนามธรรม

    ดิฉันเองได้เรียนถามท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ท่านก็กล่าวว่า ท่านรู้ชัดทีเดียวว่าสภาพนั้นเป็นนามธรรม รู้ชัดอีกว่าเป็นรูปธรรม ชัดจริงๆ ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ดิฉันก็ได้เรียนถามท่านต่อว่า จะมีความรู้ชัดยิ่งกว่าความรู้อย่างนี้อีกไหม ถ้าไม่มี ก็เป็นอันว่าพอแล้ว จะเรียกว่ารู้แจ้งอริยสัจธรรม หรือว่ารู้ความเกิดดับของนามรูป เป็นญาณนั้นญาณนี้แล้วหรือ ก็เป็นการถามให้ท่านผู้นั้นได้ระลึกว่า ความรู้ชัดยิ่งกว่านั้นอีกต้องมี ไม่ใช่ว่าเท่านั้นพอแล้ว หรือว่ารู้ชัดแล้ว

    เพราะฉะนั้น เรื่องที่ท่านผู้ฟังจะอนุมานด้วยความต้องการผลว่า เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ก็เป็นเรื่องที่ถ้าท่านผู้ฟังยังมีความกังวล ยังห่วงใยในผล ในขณะนั้นก็จะไม่พ้นไปจากความเป็นตัวตน เพราะว่าปัญญาที่จะรู้จนทั่ว จนละ จนคลายในสภาพธรรมตามปกติยังไม่เกิดขึ้นเป็นความสมบูรณ์ที่เป็นวิปัสสนาญาณ

    แต่ถ้าเป็นความสมบูรณ์ของปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณ จะทำให้ท่านหมดความสงสัยในลักษณะสภาพของความรู้ชัดที่เป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น ซึ่งความรู้ ก็จะต้องเป็นการละความไม่รู้แต่ละขั้นด้วย

    สำหรับนามรูปปริจเฉทญาณ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ของปัญญาที่รู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม จะหมดความสงสัยในสภาพลักษณะว่า สภาพรู้ ธาตุรู้ที่เป็นนามธรรมนั้นเป็นอย่างไร และรูปธรรมทางมโนทวารที่ปรากฎนั้นเป็นอย่างไร

    . กระผมยังไม่หายข้องใจ ที่ทางปัญจทวารมีสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นอารมณ์นั้น สมมติว่า ขณะที่ชวนะเกิดขึ้นเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ในขณะนั้นมีทั้งสติ มีทั้งปัญญา รู้ปรมัตถธรรม คือ สี เสียง กลิ่น รส โดยชัดแจ้ง และก็รู้ต่อทางมโนทวาร ทางมโนทวารก็เป็นมหากุศลที่มีปัญญาประกอบด้วยเหมือนกัน ก็รู้สี เสียง กลิ่น รส เหมือนกับที่ปรากฏทางปัญจทวารรู้ แต่ดับไปแล้ว ซึ่งความปรากฏที่ปรากฏทางปัญจทวารนั้น ปรากฏชัดแจ้งอยู่ แต่ทางมโนทวารนี้ ปัญจารมณ์นี้ไม่ปรากฏชัดแจ้ง แต่ว่าทางมโนทวารกลับรู้ชัดแจ้งกว่าทางปัญจทวาร ตรงนี้ที่กระผมยังไม่หายข้องใจ

    สุ . ท่านผู้ฟังสงสัยในความรู้ชัดที่เป็นวิปัสสนาญาณ ที่เป็นความรู้ทาง มโนทวาร หรือมโนทวารวิถีจิต ข้อสงสัยของท่าน คือ สีที่กำลังปรากฎ ที่ยังไม่ดับไป รู้ได้ทางตา เสียงที่ปรากฎ และยังไม่ดับไป รู้ได้ทางหู คือ โสตทวารวิถี เช่นเดียวกับกลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ทำไมจึงกล่าวว่า วิปัสสนาญาณนั้นรู้ชัดในสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะได้ ทางมโนทวาร

    ในขณะนี้ การเห็นดับไปนับไม่ถ้วน เช่นเดียวกับทางโสตทวารวิถีที่ได้ยิน ก็มีเสียงที่ปรากฎสืบต่อ เพราะฉะนั้น เวลาที่เป็นความสมบูรณ์ของปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณ ที่ว่ารู้ชัดในสภาพของนามธรรมและรูปธรรม ก็เพราะขณะนั้นสติมั่นคง ปัญญามั่นคง สภาพธรรมปรากฎทันทีโดยความเป็นอนัตตาแต่ละลักษณะทางมโนทวารวิถี ซึ่งผู้นั้นจะประจักษ์ชัดว่า เสียงเป็นสภาพที่รู้ได้ทางมโนทวารวิถี กลิ่นเป็นสภาพที่รู้ได้ทางมโนทวารวิถี สิ่งที่เคยรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย คือ รูปธรรมที่รู้ได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ฉันใด ทางมโนทวารวิถีสามารถที่จะรู้รูปนั้น อย่างนั้นทีเดียว

    โดยการศึกษา ท่านผู้ฟังทราบว่า เมื่อทางปัญจทวารวิถี วิถีหนึ่งวิถีใดดับไปแล้ว จิตที่รับรู้อารมณ์นั้นต่อจะต้องเกิดทางมโนทวารวิถี เป็นต้นว่า ขณะที่กำลังเห็นขณะนี้ ทุกท่านกำลังเห็นทางตา ทางมโนทวารวิถีจะต้องเกิดขึ้นรู้สีที่ปรากฎทางตาต่อจากจิตที่รู้รูปารมณ์ทางจักขุทวารวิถีอย่างรวดเร็วที่สุด จนกระทั่งท่านผู้ฟังไม่สามารถที่จะแยกออกได้ว่า ขณะนี้ทางปัญจทวารวิถีดับไป และทางมโนทวารวิถีเกิดต่อ

    เวลาที่มีการได้ยินเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง จิตที่เกิดขึ้นได้ยินเสียง รู้เสียงทางโสตทวารวิถีดับไปแล้ว เสียงดับไป จิตทางมโนทวารวิถีจะเกิดขึ้นรู้เสียงนั้นต่ออย่างเดียวกันทีเดียว อารมณ์เดียวกันทีเดียว ต่อจากทางโสตทวารวิถี

    เพราะฉะนั้น มโนทวารวิถีแรกที่เกิดต่อจากจักขุทวารวิถี ต้องมีรูปารมณ์เป็นปรมัตถอารมณ์เช่นเดียวกับจักขุทวารวิถีจิต มโนทวารวิถีจิตที่รับรู้เสียงต่อจาก โสตทวารวิถีจิตอย่างรวดเร็วนั้น ก็จะต้องรับรู้เสียง อารมณ์เดียวกับโสตทวารวิถีจิตนั่นเอง สืบเนื่องต่อกันทันที ลักษณะของอารมณ์ไม่เปลี่ยนเลย เห็นเมื่อสักครู่นี้กับเห็นเดี๋ยวนี้ เปลี่ยนไปบ้างไหม โดยสภาพของการปรากฎของอารมณ์ หรือว่าการได้ยินเสียงที่สืบต่อกันอยู่ เพราะไม่ใช่ว่าปรากฎเพียงรูปเดียวแล้วก็ดับไปเลย ยังมีเสียงเดียวกันนั้น ปรากฎซ้ำ หรือว่าปรากฎสืบต่อกัน ทำให้ปรากฎได้ทางมโนทวารวิถีในลักษณะของเสียงเช่นเดียวกับทางโสตทวารวิถีที่ดับไป หรือว่าเวลาที่รู้กลิ่นทางจมูก จิตที่รู้กลิ่น ปรมัตถอารมณ์ คือ กลิ่น ดับไปหมดแล้วทางฆานทวารวิถีจิต จิตที่รู้กลิ่นนั้นต่อ สืบต่อทางมโนทวารวิถี ก็รู้ในลักษณะของกลิ่นที่สืบต่อกันนั่นเอง

    เพราะฉะนั้น จิตที่รู้อารมณ์ทางมโนทวารวิถีนั้น สามารถที่จะรับรู้สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สืบต่อจากทางปัญจทวารวิถีอย่างรวดเร็วที่สุด เมื่อทางจักขุทวารวิถีดับไปแล้ว มโนทวารวิถีเกิดขึ้นรับรู้รูปารมณ์ต่ออย่างรวดเร็วทันที เมื่อเสียงทาง โสตทวารวิถีดับไปแล้ว มโนทวารวิถีเกิดขึ้นรับรู้เสียงสืบต่อจากโสตทวารวิถีทันที และลักษณะ ของอารมณ์ คือ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้น เป็นลักษณะเดียวกับทางปัญจทวารวิถี

    เช่นในขณะนี้ ทุกท่านแยกไม่ออกเลย ระหว่างทางจักขุทวารวิถีที่ดับไป และมโนทวารวิถีที่สืบต่อ ยังไม่ใช่ความรู้ชัดที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ เพราะเหตุว่ายังไม่สามารถที่จะรู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทางมโนทวารวิถีได้

    แต่การที่สติจะมั่นคง ปัญญาจะมั่นคง และรู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งเป็นลักษณะที่แยกจากกัน ไม่ใช่ลักษณะเดียวกัน จะต้องรู้ชัดทางมโนทวารวิถีจิต

    เสียงดับไปแล้วทางโสตทวารวิถี ถ้าขณะนั้นเป็นวิปัสสนาญาณที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ สามารถที่จะรู้เสียงนั้นเองทางมโนทวารวิถี เพราะเหตุว่าปกติธรรมดา มโนทวารวิถีจิตก็รับรู้สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะต่อจากทางปัญจทวารวิถีอยู่แล้ว แต่ที่ไม่รู้ชัดในสภาพของนามธรรมและรูปธรรม ก็เพราะเหตุว่ายังไม่ประจักษ์การรู้ชัดในลักษณะของรูปธรรมนั้นๆ นามธรรมนั้นๆ ทางมโนทวาร ซึ่งคั่นอยู่ทุกวิถีของทางปัญจทวาร แต่เมื่อทางมโนทวารรู้รูปที่รับรู้ต่อจากทางปัญจทวารวิถีจิตแล้ว ผู้นั้น จะหมดความสงสัยในความขาดตอนจริงๆ ของแต่ละรูปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เพราะเหตุว่ามโนทวารวิถีจิตกำลังรู้ชัดเฉพาะในลักษณะปรมัตถอารมณ์นั้นๆ สืบต่อจากทางปัญจทวารวิถีจิต

    ในขณะที่สติมั่นคง และปัญญามั่นคง ที่เป็นความรู้ชัด ที่เป็นวิปัสสนาญาณ ในขณะนั้นบางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมมหากุศลจิตที่เกิดรู้ปรมัตถอารมณ์ทาง จักขุทวารวิถี โสตทวารวิถี ฆานทวารวิถี ชิวหาทวารวิถี กายทวารวิถีก็ตามเหล่านั้น จึงไม่ใช่วิปัสสนาญาณด้วย ทำไมจึงถือเฉพาะความรู้ชัดทางมโนทวารเท่านั้นที่เป็นวิปัสสนาญาณ เพราะถ้าขณะนั้นไม่มีจักขุทวารวิถี สีจะปรากฏทางมโนทวารวิถีจิตไม่ได้ ถ้าขณะนั้นไม่มีโสตทวารวิถีก่อน เสียงจะปรากฏทางมโนทวารวิถีจิตไม่ได้ แต่ทำไมในเมื่อทางจักขุทวารวิถีก็เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ และกำลังรู้ชัดในปรมัตถอารมณ์ที่ยังไม่ดับไป ถ้าเป็นทางหู จิตก็กำลังรู้ชัดในเสียงที่ยังไม่ดับไปทางโสตทวารวิถี ทำไมจึงไม่จัดว่าความรู้นั้นเป็นวิปัสสนาญาณ

    ที่เป็นอย่างนี้ เพราะเหตุว่า จิตที่รู้อารมณ์ คือ รูปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เป็นปรมัตถ์ ที่ยังไม่ดับไปทางจักขุทวารวิถี โสตทวารวิถี ฆานทวารวิถี ชิวหาทวารวิถี กายทวารวิถีนั้น สามารถที่จะรู้ได้เฉพาะรูปแต่ละทางเป็นอารมณ์

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 252

    จิตที่เกิดขึ้นรู้สีที่ยังไม่ดับ จะรู้อื่นไม่ได้เลย และในขณะที่เสียงยังไม่ดับไป จิตที่เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ก็เกิดขึ้นรู้เสียงที่ยังไม่ดับไป รู้ได้เฉพาะเสียงที่ยังไม่ดับไป ไม่มีความรู้ในลักษณะที่ต่างกันของนามธรรมและรูปธรรม สามารถที่จะรู้เฉพาะแต่ปรมัตถ์อารมณ์ที่ไม่ดับเท่านั้น วิถีจิตรวดเร็วเหลือเกิน เพราะฉะนั้น เวลาที่ความรู้ชัด ที่เป็นสติที่มั่นคง เป็นปัญญาที่มั่นคงเกิดขึ้นทางมโนทวาร จึงสามารถรู้ในลักษณะที่เป็นสภาพรู้ ที่เป็นนามธรรม โดยไม่มีรูปธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องเลยสักรูปเดียว รูปธรรมสักลักษณะเดียวจะไม่ปรากฎในขณะที่วิปัสสนาญาณกำลังรู้ชัดในลักษณะที่เป็นนามธรรม

    เมื่อสติมั่นคง ปัญญามั่นคง เป็นวิปัสสนาญาณ จะไม่รู้แต่เฉพาะนามธรรมเท่านั้น เวลาที่รูปธรรมปรากฏ จะปรากฏทางมโนทวารวิถี ซึ่งเป็นความชัดเจน เป็นปรมัตถ์อารมณ์ เพราะเหตุว่ารับรู้ปรมัตถ์อารมณ์นั้นต่อจากทางปัญจทวารวิถีนั่นเอง เพราะฉะนั้น เวลาที่ประจักษ์ในสภาพของรูปธรรมทีละลักษณะ ท่าทางไม่มีเลย อย่างอื่นไม่มีเลย แล้วแต่ว่ารูปนั้นจะเป็นรูปที่ปรากฎทางตา หรือทางหู หรือจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย มโนทวารวิถีจิตเกิดขึ้นรับรู้รูปปรมัตถ์นั้นต่อจากทางปัญจทวารวิถีโดยรวดเร็ว ลักษณะของปัญจทวารวิถีไม่ปรากฎทางมโนทวารวิถี แต่ผู้ที่ศึกษา ปริยัติธรรมสามารถที่จะรู้ได้ เพราะได้ศึกษามาแล้วว่า ถ้าจักขุทวารไม่มี สีปรากฏทางมโนทวารวิถีไม่ได้ ถ้าโสตทวารไม่มี เสียงปรากฏทางมโนทวารวิถีไม่ได้ จิตรู้เสียงทางโสตทวารวิถีต้องดับไปก่อน ทางมโนทวารวิถีจึงจะเกิดรับรู้เสียงนั้นต่ออย่างรวดเร็วที่สุด เพราะฉะนั้น เป็นการสืบต่อที่เร็วมาก ความเร็วมากที่เป็นความรู้ชัดทางมโนทวารนี้ ทางปัญจทวารไม่ปรากฎ

    . สมมติว่า ทางโสตทวารวิถีนี้เกิดขึ้น ๑๐๐ ครั้ง รู้ปรมัตถ์อารมณ์ คือเสียง ๑๐๐ ครั้ง ทางมโนทวารวิถีก็รู้ ๑๐๐ ครั้งเหมือนกัน ก็รู้เช่นเดียวกันอย่างนี้ ที่สงสัยคือ ปัญญาที่เกิดขึ้นทางโสตทวารวิถี ชวนจิตนั้นมีปัญญา ทางมโนทวารก็มีปัญญาเหมือนกัน แต่ปัญญาทางปัญจทวารไม่มีประโยชน์อะไรเลยหรือ ไม่เป็นญาณหรือ ที่จริงก็เป็นปัญญา จะว่าไม่เป็นก็ไม่ได้

    อีกประการหนึ่ง สมมติว่า ทางโสตทวารวิถีนี้ แกไม่ได้รู้ตัวเองว่าแกรู้เสียงอยู่แต่ว่ามโนทวารวิถีนี้สามารถจะรู้ได้ว่า เดี๋ยวนี้รู้ทางโสตทวาร เดี๋ยวนี้รู้ทางจักขุทวาร เดี๋ยวนี้รู้ทางกายทวาร รู้ทางชิวหาทวาร เป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ

    สุ . ความจริงถ้าเป็นความรู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ขอให้ท่านพิสูจน์เดี๋ยวนี้ ทันที

    ถ้าหลับตา และมีเสียงปรากฎ ใครสามารถจะบอกได้ว่า เสียงที่กำลังปรากฎ เป็นโสตทวารวิถี หรือมโนทวารวิถี มีอะไรเป็นเครื่องที่จะแยกได้ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ความรู้ชัดที่เป็นมโนทวารวิถีจิตในขณะนั้น สามารถที่จะประจักษ์ในสภาพของการรู้ทางมโนทวาร ซึ่งทางปัญจทวารก็มี แต่ว่าปัญญายังไม่สามารถที่จะแยกได้โดยละเอียดถึงกับว่า ขณะนั้นเป็นปัญจทวารวิถีและมโนทวารวิถีสืบต่อทันที แต่แม้กระนั้น เสียงก็ปรากฎทางมโนทวารวิถี เพราะกำลังรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมที่แยกกันโดยเด็ดขาดทางมโนทวารวิถี ซึ่งความจริงทางโสตทวารวิถีก็เกิดแล้วดับแล้ว แต่เช่นเดียวกับขณะนี้ ใครแยกได้ว่า ที่เสียงกำลังปรากฎนี้ เป็นโสตทวารวิถี หรือว่าเป็นมโนทวารวิถี แยกไม่ได้ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นความรู้ชัด เป็นสติที่มั่นคง เป็นปัญญาที่มั่นคงทาง มโนทวารวิถี แม้ในขณะนั้นมีโสตทวารวิถี แต่เสมือนกับว่าทางโสตทวารวิถีนั้นมิได้ปรากฎเลย เพราะว่าความรู้ชัดกำลังรู้ชัดในสภาพของมโนทวารที่สามารถรู้สีต่อจากจักขุทวารวิถี รู้เสียงต่อจากโสตทวารวิถี รู้กลิ่นต่อจากฆานทวารวิถี รู้รสต่อจากชิวหาทวารวิถี รู้โผฏฐัพพะต่อจากทางกายทวารวิถี

    ขณะนี้เย็นปรากฎ ใครบอกได้ว่าเป็นทางกายทวารวิถี หรือมโนทวารวิถี แต่เมื่อเป็นความรู้ชัดแล้ว จึงได้ประจักษ์ว่าทางมโนทวารวิถีนั้น สามารถที่จะรู้สี สามารถที่จะรู้เสียง สามารถที่จะรู้กลิ่น สามารถที่จะรู้รส สามารถที่จะรู้โผฏฐัพพะ โดยทาง มโนทวารวิถี ซึ่งปรากฎความขาดตอนของรูปแต่ละรูป

    สิ่งที่เคยคิดว่ามี ไม่มี โลกที่เคยเห็น ที่เคยยึดถือ ไม่มี มีแต่ลักษณะของธาตุรู้ ที่กำลังรู้ และมีลักษณะของรูปแต่ละรูปที่รู้สืบต่อปรากฎชัดทางมโนทวารวิถี ให้หมดความสงสัยในการที่จะประชุมควบคุมติดต่อกัน เป็นความเห็นผิดที่ยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน

    . ถึงตรงนี้ก็พอจะเข้าใจขึ้นบ้าง เช่น ทางจักขุทวารวิถีนี้ก็รู้เฉพาะสีเท่านั้นเอง ยังไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเห็นเป็นอย่างไร ทางกายเป็นอย่างไร รสเป็นอย่างไร ไม่รู้ ทางกายทวารจะรู้เย็น รู้ร้อน อะไรก็สุดแล้วแต่ ทางจมูกก็รู้ไปอีกทางหนึ่ง คือ รู้แต่ละทางๆ ของตน แต่ว่าทั้งหมดนี้ก็มารวมลงที่มโนทวาร ซึ่งมโนทวารสามารถจะแยกได้ว่า สิ่งนี้ทางหู สิ่งนี้ทางกาย สิ่งนี้ทางลิ้น สิ่งนี้ทางจมูก ใช่ไหมครับ

    สุ . อารมณ์ที่ปรากฎทางมโนทวารวิถี ลักษณะเดียวกับที่ปรากฎทาง จักขุทวารวิถี ทางโสตทวารวิถี ทางฆานทวารวิถี ทางชิวหาทวารวิถี ทางกายทวารวิถี ซึ่งแสดงให้รู้ว่า มโนทวารวิถีจิตสามารถที่จะรู้อารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์สืบต่อจากจักขุทวารวิถีได้ โสตทวารวิถีได้ ฆานทวารวิถีได้ ชิวหาทวารวิถีได้ กายทวารวิถีได้

    สำหรับจักขุทวารวิถี รู้เฉพาะสีปรมัตถ์ที่ยังไม่ดับ ไม่สามารถที่จะรู้อื่น ความสมบูรณ์ของปัญญาจึงไม่ใช่รู้ชัดทางปัญจทวารวิถี แต่เป็นทางมโนทวารวิถี เพราะกำลังประจักษ์ในลักษณะของธาตุรู้ที่เป็นนามธรรมได้ ในลักษณะของรูปปรมัตถ์แต่ละรูปที่ปรากฎได้ และไม่ติดต่อสืบกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเหมือนอย่างที่เคยประชุมปรากฎรวมๆ กัน หรือว่าติดกันอย่างที่ไม่ปรากฎว่า มโนทวารวิถีกำลังเกิดคั่น อย่างในขณะนี้ กำลังนั่งอยู่ ก็เห็นด้วย ได้ยินด้วย มโนทวารวิถีอยู่ที่ไหนกัน ไม่ทราบใช่ไหม

    แต่ว่าที่จะรู้ชัดในสภาพของรูปธรรมที่แยกจากกันจริงๆ และก็ไม่ใช่ลักษณะของนามธรรมด้วย รูปธรรมก็เป็นรูปธรรมที่มีลักษณะเฉพาะของตน ปรากฎตามสภาพของตน นามธรรมก็ไม่ใช่ลักษณะเดียวกับรูปธรรม เป็นแต่เพียงสภาพรู้ ธาตุรู้เท่านั้น ซึ่งในขณะนั้นจะต้องรู้ทางมโนทวารวิถี

    การเจริญสติปัฏฐานนั้น เพื่อละ อย่าหวัง หรือว่าคอยเร่งรัดที่จะให้เป็นวิปัสสนาญาณเร็วๆ ถ้าท่านได้เจริญเหตุมาแล้วสมควรแก่ผล ผู้หนึ่งผู้ใดจะยับยั้งมิให้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เลย เมื่อถึงกาลที่วิปัสสนาญาณจะเกิด วิปัสสนาญาณก็เกิด แต่ถ้าก่อนนั้น เหตุยังไม่สมควรแก่ผล จะไปหวังรอสักเท่าไร จะไปเร่งรัดสักเท่าไร จะไปเทียบเคียงสักเท่าไร ก็ไม่หมดความสงสัยในวิปัสสนาญาณนั้นได้ ว่า วิปัสสนาญาณที่เป็นความรู้ชัดแต่ละขั้นนั้น รู้ชัดอย่างไร และละความไม่รู้แต่ละขั้นอย่างไร

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 253


    หมายเลข 14167
    28 พ.ย. 2568