บัญญัติไม่เที่ยง จริงหรือเปล่า
ถ . ผมสงสัยเรื่องของบัญญัติ มีผู้กล่าวว่า บัญญัติไม่เที่ยง จริงหรือเปล่า
สุ. ก่อนอื่นที่จะเข้าใจสภาพธรรมได้ ต้องเข้าใจว่าบัญญัติคืออะไร การที่จะพูดถึงธรรมข้อหนึ่งข้อใด ต้องชัดเจนว่าหมายความถึงอะไร อย่างถ้าใช้คำว่า ปรมัตถธรรม หมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริง มีลักษณะปรากฏให้รู้ได้ แล้วแต่ว่า จะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยอะไรต่างๆ ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ว่า ปรมัตถธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริง แม้ไม่ใช้คำใดๆ ก็ตาม ลักษณะนั้นมีจริง เช่น เห็น ไม่ต้องเรียกชื่อเป็นภาษาต่างๆ เห็นก็มี ปรมัตถธรรมที่มี มีเพียง ๔ ประเภท คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
ถ้าเข้าใจปรมัตถธรรมจะทำให้เข้าใจบัญญัติว่า บัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม และรู้ว่า ที่ใช้คำว่า บัญญัติ ต้องไม่ใช่ปรมัตถธรรม ต้องไม่ใช่จิต ต้องไม่ใช่เจตสิก ต้องไม่ใช่รูป
สภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรมเกิดขึ้นและดับไป ได้แก่ ปรมัตถธรรม ๓ คือ จิต เจตสิก รูป เป็นสังขารธรรมซึ่งเกิดดับ เพราะฉะนั้น บัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม ไม่ใช่สังขารธรรม ไม่เกิด และจะดับได้ไหม
ถ . ถ้าไม่เกิด ก็ไม่ดับแน่ๆ
สุ. ต้องเข้าใจความหมายของบัญญัติก่อน
ถ . และบัญญัติเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานได้ไหม
สุ. ไม่ได้ เพราะว่าสติปัฏฐานต้องระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ เกิดปรากฏและดับ จึงจะประจักษ์ว่า ลักษณะนั้นเป็นธรรมแต่ละชนิดซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพื่อวิปัสสนาญาณจะสมบูรณ์ถึงการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามลำดับขั้น ตั้งแต่วิปัสสนาญาณที่ ๑ คือ นามรูปปริจเฉทญาณ เป็นความสมบูรณ์ของปัญญาซึ่งประจักษ์แจ้งในลักษณะที่แยกขาดจากกันของนามธรรมและรูปธรรม เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นไม่ใช่บัญญัติ
และสำหรับผู้ที่คิดว่า บัญญัติเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานได้ ขอให้แสดง วิธีเจริญสติโดยการระลึกรู้บัญญัติว่า ระลึกได้อย่างไร
ถ . เขาอ้างว่า ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานกล่าวถึงอาการ ๓๒ ว่า ให้พิจารณาอาการ ๓๒ และเกิดความเบื่อหน่าย เกิดความละคลาย ขณะนั้นกล่าวว่า เป็นสติปัฏฐาน
สุ. พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระอภิธรรมไว้เพื่ออะไร
ถ . เพื่อให้เข้าใจสภาวะตามความเป็นจริง
สุ. เพราะฉะนั้น ส่วนที่เคยยึดถือว่ากาย ทรงแสดงว่าได้แก่ปรมัตถ์อะไร มิฉะนั้นแล้วจะต้องไม่มีปรมัตถธรรมเป็นเครื่องยืนยัน ใช่ไหม ส่วนที่เคยยึดถือว่า กาย ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ได้แก่ปรมัตถธรรมอะไร
ถ . ได้แก่ รูปปรมัตถ์
สุ. ได้แก่ รูปปรมัตถ์ ได้แก่ธาตุอะไร
ถ . ดิน น้ำ ไฟ ลม
สุ. นี่ทรงแสดงไว้หรือเปล่า
ถ. ทรงแสดงไว้
สุ. เมื่อทรงแสดงไว้แล้ว ทำไมไม่ประกอบกันว่า แม้ใช้คำว่า ลมหายใจ หรืออิริยาปถบรรพ หรือการพิจารณาส่วนต่างๆ ของกายก็ดี ถ้าเป็นสติปัฏฐาน จะต้องระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม เพื่อจะได้ถึงความสมบูรณ์ของปัญญาที่ประจักษ์ลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม
ถ . ถ้าอย่างนั้นในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานที่ว่าด้วยอาการ ๓๒ ที่ให้พิจารณา นี่มีประโยชน์อย่างไร
สุ. สติปัฏฐานทั้งหมด เพื่อไม่ให้หลงลืมสติ ถ้าเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรม โดยตลอด จะเห็นได้ว่า รวบรวมธรรมทุกขั้น ทุกประเภท ทุกระดับ แม้แต่เรื่องของจิต ไม่ว่าจะเป็นฌานจิตก็เป็นสติปัฏฐาน หรือไม่ใช่ฌานจิตก็เป็นสติปัฏฐาน
สำหรับผู้ที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แล้วแต่ว่าจะยึดถือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หรือส่วนหนึ่งส่วนใดก็ตาม ทั้งหมดที่เคยยึดถือว่าเป็นกาย สติระลึก รู้ลักษณะของสภาพที่เป็นปรมัตถธรรมเพื่อจะรู้ชัดว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
ถ้าจะเอาผม ขน เล็บ ฟัน หนังมาเป็นการเจริญสติปัฏฐาน จะทำอย่างไร
ถ . ก็ให้พิจารณาผมโดยที่ตั้ง สัณฐาน สี กลิ่น ว่าเป็นของไม่งาม ทั้งหมดนี่เป็นบัญญัติ เมื่อพิจารณาแล้วเกิดความเบื่อหน่ายจริง แต่ไม่ทราบว่า เป็นสติปัฏฐานหรือเปล่า
สุ. ถ้าเป็นสติปัฏฐานขณะใด ต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตรงตามความเป็นจริงของลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ซึ่งต้องเป็นปรมัตถธรรม
