บัญญัติเป็นธัมมารมณ์


    ธัมมารมณ์ ๖ คือ ๑. ปสาทรูป ๒. สุขุมรูป ๓. จิตทั้งหมด ๔. เจตสิกทั้งหมด ๕. นิพพาน ๖. บัญญัติ

    นิพพานยังไม่ปรากฏ เพราะปัญญายังไม่ได้อบรมที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ควรเข้าใจธัมมารมณ์อีกประเภทหนึ่ง คือ บัญญัติ ซึ่งทุกท่านมีบัญญัติเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลาแต่ไม่รู้ว่านั่นคือบัญญัติ

    หลักที่ควรทราบว่า ความหมายของบัญญัติคืออะไร คือ ขณะใดสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่ปรมัตถธรรม ขณะนั้นเป็นบัญญัติอารมณ์ ซึ่งใน อัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ มีคำอธิบายว่า

    ที่ชื่อว่าบัญญัติ (ปญฺญตฺติ) เพราะให้รู้ได้โดยประการนั้นๆ

    ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ ขณะที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ คือ ที่ชื่อว่าบัญญัติ เพราะให้รู้ได้โดยประการนั้นๆ

    ทางตา มีสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นรูปารมณ์ เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า จักขุทวารวิถีจิตทุกดวงต้องรู้รูปารมณ์ที่ยังไม่ดับ คือ ตั้งแต่ปัญจทวาราวัชชนจิต จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต ชวนจิต ตทาลัมพนจิต ต้องรู้รูปารมณ์ ที่ยังไม่ดับ

    ทางหู ปัญจทวาราวัชชนจิต โสตวิญญาณ สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต ชวนจิต ตทาลัมพนจิต รู้เสียงที่ยังไม่ดับ

    ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยนัยเดียวกัน

    เพราะฉะนั้น บัญญัติมาเมื่อไร ทางตา ทันทีที่จักขุทวารวิถีจิตดับ ภวังคจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีจิตวาระแรกมีสีหรือสิ่งที่ปรากฏทางตาที่เพิ่งดับเป็นอารมณ์ เปลี่ยนไม่ได้เลย มิฉะนั้นจะไม่มีการรู้เลยว่า สิ่งที่เห็น บัญญัติเป็นอะไร เพียงเท่านี้ก็ทราบถึงความไม่รู้ในวันหนึ่งๆ ได้ใช่ไหมว่า เต็มไปด้วยความไม่รู้เรื่องของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาและต่อไปถึงทางใจ ว่าเมื่อไรจะเป็นบัญญัติ

    มโนทวารวาระที่ ๑ ยังไม่ใช่บัญญัติอารมณ์ เพราะต้องเป็นปรมัตถอารมณ์ มโนทวารวาระที่ ๑ เริ่มด้วยมโนทวาราวัชชนจิต ๑ ขณะ และชวนจิต ๗ ขณะ ดับไปภวังคจิตเกิดคั่น ซึ่งไม่ทราบเลยว่าคั่นนานเท่าไร และมโนทวารวิถีจิตก็เกิดต่อ ที่จะมีบัญญัติเป็นอารมณ์ คือ ถ้าถามว่าเห็นอะไร ตอบว่าเห็นคน เห็นวัตถุ เห็นสิ่งต่างๆ ในขณะนั้นคือบัญญัติทั้งหมด ไม่ใช่ปรมัตถธรรม

    ปรมัตถธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ปรากฏทางตาเท่านั้น ส่วนความคิดที่ว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ นั่นคือบัญญัติของสิ่งที่เห็น มิฉะนั้น จะไม่สามารถรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แต่บัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม

    เพราะฉะนั้น ที่กล่าวตั้งแต่ต้นว่า สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน อย่าลืมว่าจะต้องสอดคล้องกันตลอดไป เมื่อไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ขณะที่เห็นเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ จึงเป็นบัญญัติ

    ให้ทราบลักษณะของบัญญัติว่า ในขณะที่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นไม่ใช่เป็นปรมัตถ์ เนื่องจาก ที่ชื่อว่าบัญญัติ เพราะให้รู้ได้โดยประการนั้นๆ

    ถ้าเห็นรูปเขียนขององุ่นกับผลองุ่น อะไรเป็นบัญญัติ

    ชีวิตประจำวัน สภาพธรรมทั้งหมดไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ขณะที่เห็นรูปเขียนของผลไม้ชนิดหนึ่ง จะเป็นเงาะ มังคุด หรืออะไรก็ได้ กับผลไม้จริงๆ อะไรเป็นบัญญัติ

    ถ้าเป็นภาพวาด มีภูเขา มีทะเล มีต้นไม้ แต่รู้ว่าเป็นรูปเขียน ไม่ใช่ภูเขา ไม่ใช่ทะเล ไม่ใช่ต้นไม้จริงๆ กับเวลาที่ไปที่ภูเขา เห็นภูเขา เห็นทะเล เห็นต้นไม้ อะไรเป็นบัญญัติ

    ท่านผู้ฟังบอกว่า ชื่อเป็นบัญญัติ

    ยังไม่ต้องเรียกชื่อก็มีบัญญัติแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าภาษาไหน แต่มีบัญญัติในสิ่งที่ปรากฏแล้ว มิฉะนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ที่รู้ว่าเป็นอะไรก็เพราะขณะนั้นเป็นบัญญัติ เพราะให้รู้ได้โดยประการนั้นๆ โดยยังไม่ต้องเรียกชื่อ เพียงเห็นรูปเขียนของผลไม้ กับผลไม้จริงๆ อะไรเป็นบัญญัติ

    ทั้งสองอย่างเป็นบัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถ์

    มีความต่างอะไรระหว่างผลไม้จริงๆ กับรูปเขียนผลไม้ในขณะที่เห็นทางตา เพราะสิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่องุ่น ไม่ใช่อะไรทั้งหมด แต่เวลาเห็นรูปเขียนองุ่นกับผลองุ่นอาจจะเข้าใจว่า เฉพาะรูปเขียนเป็นบัญญัติ ผลองุ่นไม่ใช่บัญญัติ ซึ่งความจริงแล้วทั้งรูปเขียนและผลองุ่นที่ปรากฏทางตาเป็นบัญญัติ เพราะทางจักขุทวารวิถีจะเห็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏ ส่วนทางมโนทวารวิถี มีบัญญัติเพราะให้รู้ได้โดยประการนั้นๆ คือ ให้รู้ได้ว่านี่คือองุ่น จะเป็นผลองุ่นหรือเป็นรูปเขียนองุ่นก็ตามแต่ แต่ให้รู้ได้ว่าเป็นองุ่น

    เพราะฉะนั้น ทางตาในขณะที่กำลังเห็น ท่านผู้ฟังต้องพิจารณาจริงๆ ขณะนี้ เวลาที่กำลังเป็นคนนั้นคนนี้ ให้ทราบว่า เหมือนกับภาพเขียนที่เป็นบัญญัติแล้ว ยากที่จะถ่ายถอนออกไปได้ เห็นเก้าอี้ กระทบสัมผัสแข็งอย่างหนึ่ง และก็เห็น บัญญัติที่จะทำให้รู้ได้โดยประการนั้นๆ ว่า เป็นสิ่งที่จะนั่งลงไปได้

    ถ. ตอนนี้เห็นปากกา ท่านอาจารย์บอกว่า ถ้าเห็นแล้วเป็นปากกาอย่างนี้ แสดงว่าข้ามทางปัญจทวารไปแล้ว

    สุ. รู้ได้ว่าเป็นปากกา นั่นคือบัญญัติ

    ถ. ครั้งแรกที่เห็นปากกา แสดงว่าข้ามทางปัญจทวารไปสู่ทางมโนทวารแล้ว

    สุ. ถูกต้อง

    ถ. จะมีการศึกษาหรือปฏิบัติอย่างไรที่จะไม่ให้ข้ามทางปัญจทวาร

    สุ. ต้องฟังจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ ว่า คำว่า บัญญัติ นี่เมื่อไร และเป็นบัญญัติจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเป็นปรมัตถ์ในขณะที่กำลังเห็น ถ้าเป็นปรมัตถธรรม จะไม่มีใครเลย และจะว่าตัวคนเดียวก็ยังไม่ถูก เพราะยังมีตัวอยู่ ก็ยังคงเป็นสัตว์ เป็นบุคคลอยู่

    ถ้าเป็นปรมัตถธรรมจริงๆ คือ จิตเกิดขึ้นขณะเดียว และมีสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างเดียว เพราะฉะนั้น เวลานี้สภาพธรรมเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วจนทำให้เห็นเหมือนกับพัดลมกำลังหมุน นี่ต้องต่อกันหลายรูปที่จะทำให้เห็นเป็นการเคลื่อนไหวได้ แม้แต่การยกมือ ก็ต้องมีรูปที่ปรากฏเป็นเหมือนรูปที่ปรากฏนิดหนึ่งและดับก่อนที่จะยกขึ้น เพราะฉะนั้น บัญญัติมากมายจนกระทั่งปิดกั้นปรมัตถธรรม ไม่ให้เห็น ปรมัตถธรรมตามความเป็นจริง

    ถ. ถ้าอย่างนั้น จะเอาคำว่า บัญญัติ ไปทิ้งไว้ที่ไหน

    สุ. ไม่ต้องทิ้ง แต่ให้รู้ว่า ทางมโนทวารรู้

    ถ. เป็นสภาพนึกคิดคำ ใช่ไหม

    สุ. เป็นบัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ นี่คือสิ่งที่จะต้องรู้จริงๆ จึงจะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของปรมัตถธรรมได้

    ทุกท่านบอกว่า เก้าอี้ไม่เห็นจะดับเลย ก็เป็นเก้าอี้ เป็นบัญญัติอยู่อย่างนั้น จะดับได้อย่างไร ยังไม่ได้แยกลักษณะของปรมัตถธรรมออกแต่ละทางเลย

    อย่างองุ่นที่เป็นภาพเขียนกับผลองุ่น กระทบสัมผัสต่างกันไหมทางกายทวาร ก็แข็ง ไม่เหมือนกันหรือ

    ถ. แข็งไม่เหมือนกัน

    สุ. ใช่ แข็งมีหลายอย่าง เกิดจากสมุฏฐานหลายอย่างก็จริง แต่แข็งไม่ได้เปลี่ยนลักษณะเป็นอย่างอื่น แต่ไม่ว่าจะแข็งประการใดๆ ก็ตาม แข็งมาก แข็งน้อย อ่อนมาก อ่อนน้อย ตึงมาก ตึงน้อยก็ตาม ก็เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏทางกาย แต่ สิ่งซึ่งองุ่นที่เป็นภาพเขียนไม่มี คือ รส รสขององุ่นไม่มี เพราะฉะนั้น แยกรสออกไป จึงจะไม่มีองุ่น ตราบใดที่ยังมีองุ่นอยู่ก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เหมือนกับรูปหลายๆ รูปรวมกันพร้อมจิตเจตสิกก็เป็นคน เป็นสัตว์ เหมือนกับรถยนต์ทั้งคัน ถอดชิ้นส่วนแต่ละส่วนออก ความเป็นรถยนต์ก็ไม่มีฉันใด แม้แต่องุ่นผลหนึ่ง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นผลองุ่น แต่ที่จริงแล้วเป็นรส เป็นกลิ่น เป็นเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เมื่อรวมกันและเกิดดับอย่างรวดเร็วแต่ละขณะทำให้บัญญัติเกิดขึ้นหมายรู้ได้โดยประการนั้นๆ ว่า นี่คือสิ่งนี้ แต่ตามความเป็นจริงเป็นปรมัตถธรรมแต่ละลักษณะจริงๆ ซึ่งปรากฏแต่ ละทาง และดับอย่างรวดเร็ว

    รูปที่ผลองุ่น ไม่ว่าเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งก็ดับ รสก็ดับ ทุกๆ ขณะ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมจะมีอายุอยู่เพียง ๑๗ ขณะจิตเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นรสอะไร ไม่ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา สีสันวัณณะอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเสียงอะไร ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอะไร ทั้งหมดมีอายุเท่ากัน คือ ๑๗ ขณะ และต้องแตกย่อยฆนสัญญาออก จนไม่ใช่บัญญัติว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นแต่เพียงปรมัตถธรรมแต่ละลักษณะซึ่งรวมกัน เมื่อรวมกันแล้ว ทางมโนทวารจึงหมายรู้โดยประการนั้นๆ คือ โดยบัญญัติ

    ถ. ถ้าทางมโนทวารทราบว่าเป็นปากกา ผิดหรือถูก

    สุ. ไม่ผิด เพราะขณะนั้นมีธัมมารมณ์ คือ บัญญัติ เป็นอารมณ์ แต่ปัญญาต้องรู้ถูกต้องว่า ชั่วขณะที่เป็นมโนทวารวิถีต่างกับขณะที่เป็นจักขุทวารวิถี แต่ ผู้ที่ไม่ได้อบรมเจริญปัญญาก็รวมกันเลย ทั้งทางจักขุทวารวิถีและทางมโนทวารวิถี

    ถ้าเป็นอาหาร ก็รวมกันเลย ทั้งจักขุทวารวิถี ชิวหาทวารวิถี และกายทวารวิถี เป็นอาหารประเภทต่างๆ รสต่างๆ แต่ที่จะไม่เป็นสัตว์ ไม่เป็นบุคคล ไม่เป็นตัวตน ไม่เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ต่อเมื่อแยกย่อยรูปที่เกิดดับ ๑๗ ขณะอย่างรวดเร็ว แต่ละขณะที่ปรากฏออก

    ท่านผู้ฟังชอบอะไร โลภะชอบ ชอบอะไร ชอบทุกอย่าง รวมทั้งอะไร รวมทั้งบัญญัติด้วย เต็มไปด้วยบัญญัติทั้งหมด ปฏิเสธไม่ได้ว่าปรมัตถธรรมก็ชอบ บัญญัติ ก็ชอบ ท่านผู้ฟังชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นเป็นบัญญัติ ไม่ใช่แต่เฉพาะปรมัตถ์ ถูกไหม

    ถ. ถูก

    สุ. ถ้ามีเข็มขัด ๑ เส้น สีที่ปรากฏทางตาก็ชอบ

    ถ. และชอบยี่ห้อด้วย

    สุ. ทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น ชอบหมด ถ้าบอกว่าชอบสี สีอะไร สีที่ เป็นคิ้ว เป็นตา เป็นจมูก เป็นปาก ถ้าไม่มีสีปรากฏ จะมีคิ้ว มีตา มีจมูก มีปาก ได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่เวลาเห็นสี สีก็เป็นสีอยู่นั่นเอง ไม่ว่าจะแดง เขียว ฟ้า น้ำเงิน ขาว แต่แม้กระนั้นก็ยังชอบคิ้ว ชอบตา ชอบจมูก ชอบปาก นั่นคือชอบอะไร

    ถ. ชอบบัญญัติ

    สุ. ชอบบัญญัติ เพราะฉะนั้น ปรมัตถธรรมมีจริง แต่ขณะใดที่เป็นบัญญัติ คือ ขณะที่รู้ได้ในสิ่งที่กำลังปรากฏและมีความพอใจในสิ่งนั้น ชื่อว่ากำลังมีความพอใจในบัญญัติด้วย

    อัฏฐสาลินี นิกเขปกัณฑ์ อธิบายนิทเทสอินทริยอคุตตทวารตาทุกะ ข้อ ๑๓๕๒ อธิบายในนิทเทสแห่งความเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีข้อความว่า

    คำว่า เป็นผู้ถือนิมิต คือ ย่อมถือนิมิตว่าหญิง ชาย

    ใช้คำว่า นิมิต เวลาที่ถือว่าเป็นหญิง เป็นชาย แสดงว่าไม่ใช่ปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้น ทุกท่านเห็นหญิงเสมอ เห็นชายเสมอ ให้ทราบว่า ในขณะนั้นถือนิมิตหรือบัญญัติของสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่เพียงแต่สี คือ ปรมัตถธรรม แต่ว่ามีบัญญัติของสิ่งที่ปรากฏ คือ นิมิต

    คือ ย่อมถือนิมิตว่าหญิง ชาย หรือนิมิตอันเป็นวัตถุแห่งกิเลส มีสุภนิมิต เป็นต้น ด้วยอำนาจฉันทราคะ

    ถ้าชอบบัญญัติ คือ เข็มขัด หมายความว่าเข็มขัดนั้นมีสุภนิมิต จึงเกิดความชอบด้วยอำนาจฉันทราคะ ถ้าเข็มขัดไม่สวย ไม่ใช่สุภนิมิต ก็ไม่ชอบ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น สีเท่านั้น แต่เป็นบัญญัติด้วยนิมิตต่างๆ ไม่ดำรงอยู่ในรูปารมณ์เพียงแค่เห็นเท่านั้น นี่เป็นสิ่งซึ่งสติปัฏฐานจะต้องเจริญจริงๆ จนสามารถรู้ความต่างกันของปรมัตถธรรมและบัญญัติได้

    ข้อความต่อไปมีว่า

    คำว่า เป็นผู้ถืออนุพยัญชนะ คือ ถืออาการอันต่างด้วยมือ เท้า การยิ้ม การหัวเราะ การเจรจา การมองไป และการเหลียวซ้ายแลขวา เป็นต้น ซึ่งได้โวหารว่า อนุพยัญชนะ เพราะเป็นเครื่องปรากฏของกิเลส คือ กระทำกิเลสให้ปรากฏ

    อนุพยัญชนะนี่ไม่ยากที่จะรู้ได้ เพราะเป็นเครื่องปรากฏของกิเลส คือ กระทำกิเลสให้ปรากฏ

    ที่ว่าชอบเข็มขัด เพราะนิมิตและอนุพยัญชนะด้วย ใช่ไหม ถ้าทุกคนเห็นเข็มขัดเหมือนกันหมด ไม่ต้องทำให้วิจิตรต่างๆ ก็ไม่ต้องมีอนุพยัญชนะ แต่เข็มขัดมีมากมายหลายประเภท ต่างกันด้วยอนุพยัญชนะ เพราะฉะนั้น สำหรับอนุพยัญชนะนั้น เป็นเครื่องปรากฏของกิเลส

    ขณะใดที่กำลังมีอนุพยัญชนะ และขณะนั้นไม่ใช่โมหมูลจิต ให้ทราบว่า ในขณะนั้นอนุพยัญชนะนั้น กระทำกิเลสให้ปรากฏ แล้วแต่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม

    ถ. ถ้าไม่ให้ติดในบัญญัติ ก็จะไม่ทราบว่านี่คือปากกา

    สุ. นั่นผิด ไม่ใช่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏแล้วดับไป และการรู้บัญญัติทางมโนทวารก็เกิดต่อ นี่เป็นชีวิตตามความ เป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ปัญญาต้องรู้ตามความเป็นจริงก่อน คือ รู้ว่ารูปารมณ์ทาง ปัญจทวารเป็นอย่างไร ต่างกับบัญญัติอย่างไร จึงสามารถที่จะละคลายการยึดถือ รูปารมณ์ที่กำลังปรากฏว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุ เป็นที่ตั้งของความพอใจ และรู้ว่าในขณะที่เห็นเป็นหญิง เป็นชาย เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ นั้น เป็นนิมิตหรือบัญญัติทางมโนทวาร และอาศัยปัญญาที่สามารถรู้ความจริงของปรมัตถธรรม ทำให้สามารถรู้ได้ว่า เวลาที่รู้ว่าวัตถุสิ่งนั้นบัญญัติอย่างไร เป็นอะไร ขณะนั้นไม่ใช่ ทางจักขุทวาร หรือทางปัญจทวาร แต่เป็นทางมโนทวาร

    ยังไม่ต้องไปประจักษ์การเกิดดับของจิตหรือของรูปอะไร ถ้ายังไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริงให้ถูกต้อง แต่จะ ต้องอบรมเจริญปัญญาไปเรื่อยๆ

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1351

    ถ. อาจารย์บอกว่า บัญญัติเป็นธัมมารมณ์ชนิดหนึ่ง ใช่ไหม

    สุ. เป็นธัมมารมณ์ เพราะเป็นอารมณ์ที่รู้ได้ทางใจ

    ถ. ธัมมารมณ์ จะเป็นปรมัตถอารมณ์ ...

    สุ. ธัมมารมณ์มี ๖ เป็นปรมัตถธรรม ๕ ไม่ใช่ปรมัตถธรรม ๑

    เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ไม่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ขณะนั้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์ และวันหนึ่งๆ บัญญัติจะมากสักเท่าไร ปิดบังลักษณะของปรมัตถธรรมทั้งหมดไม่ให้รู้ตามความเป็นจริงเลยว่า ทางตาที่กำลังปรากฏไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสีสันวัณณะที่ปรากฏเมื่อกระทบกับจักขุปสาทเท่านั้น

    ถ้าเมื่อไรปัญญาเจริญขึ้นอย่างนี้ ก็จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมได้ และจะรู้ความต่างกันของปรมัตถอารมณ์กับบัญญัติอารมณ์ได้ นี่เป็นทางตา

    เวลาที่ฝันเป็นอารมณ์อะไร ทุกคนฝันแน่นอน เพราะผู้ที่ไม่ฝัน คือ พระอรหันต์ เพราะฉะนั้น เป็นชีวิตประจำวันที่จะต้องเข้าใจลักษณะของอารมณ์ทั้ง ๖ ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพื่อจะได้น้อมระลึกให้ถูกจนกว่าปัญญาจะสามารถรู้ชัดได้จริงๆ ว่า ปรมัตถอารมณ์ไม่ใช่บัญญัติอารมณ์ อย่าปนกัน เพราะถ้าปนกันจะไม่สามารถละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้

    เป็นชีวิตของแต่ละคนตามความเป็นจริง ทุกคนฝัน ฝันเห็นอะไร เวลาที่ตื่นขึ้นก็บอกว่า ฝันเห็นญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นต้น เพราะฉะนั้น ฝันเห็นบัญญัติ ถ้าไม่พิจารณาจะไม่รู้เลย เหมือนเห็น แต่ตามความเป็นจริง ถามว่าเห็นอะไร เห็นคน เห็นญาติผู้ใหญ่ เห็นมิตรสหาย เห็นสัตว์ต่างๆ เห็นบุคคลต่างๆ นั่นคือ ฝันเห็นบัญญัติ เพราะในขณะนั้นจักขุวิญญาณไม่ได้เกิด กำลังหลับ แต่มโนทวารวิถีจิตเกิด เห็นเป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นให้ทราบว่า แม้ฝันก็เห็นบัญญัติ

    ทุกท่านอ่านหนังสือพิมพ์ มีเรื่องราวต่างๆ มีรูปภาพด้วย บัญญัติทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เกือบจะไม่รู้ลักษณะของปรมัตถธรรมเลย เพราะไม่ว่าจะเห็นทางตา ขณะใด จากหนังสือที่อ่าน หรือไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน จะฝันอย่างไร ก็บัญญัติทั้งนั้น นี่เรื่องของทางตา

    ในฝัน ถ้าฝันถึงญาติผู้ใหญ่ที่สิ้นชีวิตไปแล้ว บางครั้งไม่ได้พูดอะไรเลย เพราะฉะนั้น บัญญัติไม่จำเป็นต้องเป็นนามบัญญัติ หรือสัททบัญญัติ เป็นสิ่งที่ปรากฏและบัญญัติว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้โดยที่ในขณะนั้นมีความคิดว่าเป็นตัวตน เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด จึงเป็นบัญญัติ เพราะไม่ใช่เป็นแต่เพียงสภาพปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ

    สำหรับทางหู ตั้งแต่เกิดก็ได้ยินเสียงบ่อยๆ เป็นปกติ โดยที่ยังไม่รู้คำ ไม่มีภาษาหนึ่งภาษาใดเลยตอนที่เป็นเด็ก แต่ว่าสัญญา ความจำในเสียง สามารถที่จะบัญญัติเสียงที่จำไว้ให้มีความหมายต่างๆ เพราะฉะนั้น เวลาที่เป็นเด็กเล็กๆ และก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หกล้มเจ็บ เป็นไข้ โกรธเคือง ชอบ พอใจ ร้องไห้อยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้คำที่จะอธิบาย ที่จะพูด หรือที่จะบอก

    มีท่านผู้ใดจำตอนที่เกิดได้บ้างไหม ทั้งๆ ที่ขณะนั้นก็เห็น ได้ยิน แต่เมื่อยังไม่มีคำที่จะอธิบาย หรือยังไม่สามารถที่จะรู้ความหมาย ความทรงจำในเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ผ่านไป แต่เมื่อโตขึ้นแล้ว มีคำมีภาษาที่ใช้ให้รู้ความหมายต่างๆ นอกจากจะจำสิ่งที่เห็นทางตาแล้ว ยังจำเรื่องที่ได้ยินทางหูเพิ่มเติมไปอีก ประกอบกัน ทั้งสิ่งที่ปรากฏทางตาและเสียงที่ได้ยินทางหู ให้เป็นทั้งรูปและเรื่องที่ประกอบกัน

    ถ้าอ่านหนังสือเรื่องหนึ่งเรื่องใด ยังไม่พอใช่ไหม ต้องทำเป็นหนังให้เห็น และมีเสียงด้วย หรือในโทรทัศน์ก็ตาม จะเห็นได้ว่า ในขณะที่กำลังดูโทรทัศน์ มีบัญญัติอะไรบ้าง ทางตา ใครกำลังเล่นละคร เรื่องอะไร ชื่ออะไร ดูเสมือนว่าเป็นคนจริงๆ แต่ความจริงเป็นบัญญัติทั้งหมดจากสิ่งที่ปรากฏและจำได้ว่า นี่คือบุคคลนั้นในเรื่องนั้น

    เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันล้อมรอบไปด้วยบัญญัติ ซึ่งปิดบังลักษณะของปรมัตถธรรมจนกระทั่งไม่สามารถแยกรู้ได้จริงๆ ว่า ทางตาที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนนั้นเป็นอย่างไร

    ด้วยเหตุนี้การศึกษาเรื่องของจิต กิจของจิต หรือวิถีจิตทางทวารต่างๆ จะช่วยให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นในขั้นของการฟัง เพื่อเกื้อกูลเป็นสังขารขันธ์ให้สติน้อมไประลึกลักษณะของปรมัตถธรรมโดยไม่ที่ติดในนิมิตอนุพยัญชนะซึ่งเป็นการปรากฏของบัญญัติ

    ถ. บัญญัติเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานได้ไหม

    สุ. ไม่ได้

    ถ. ฟังแล้วคล้ายๆ กับว่า บัญญัติเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานได้

    สุ. ปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน ขณะใดที่รสเกิดและกระทบกับชิวหาปสาทเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นรู้รสทางชิวหาทวาร เริ่มตั้งแต่ปัญจทวาราวัชชนจิต ชิวหาวิญญาณ สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต ชวนจิต ตทาลัมพนจิต และรสดับ จึงไม่มีองุ่น นั่นคือปรมัตถธรรม แต่เมื่อรวมกันแล้วเป็นผลองุ่น ขณะนั้นเป็นบัญญัติ

    เพราะฉะนั้น สติระลึกที่ลักษณะสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมจึงจะรู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ถ้าตราบใดที่สติปัฏฐานยังไม่เกิด จะไม่มีการแยกลักษณะของปรมัตถธรรมออกจากบัญญัติ จึงยังมีความเห็นว่า เห็นคนอยู่ตลอดเวลา ทางตา ซึ่งความจริงไม่ใช่คน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่กระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏแต่ถ้าสติระลึกที่ลักษณะของปรมัตถธรรม จะเอาคนออกไปได้ เอาวัตถุสิ่งต่างๆ ออกไปได้จากเพียงสีสันวัณณะ หรือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้

    ถ้าเจริญสติปัฏฐาน จะมีความรู้สึกว่าอยู่คนเดียว คือ ไม่มีใครเลยนอกจากสภาพธรรมที่เป็นเพียงรูปารมณ์ปรากฏกับจักขุวิญญาณ เป็นอย่างนั้นบ้างไหม

    ถ. ไม่เป็น

    สุ. ไม่เป็น และต้องรู้ด้วยว่าที่ไม่เป็นเพราะอะไร เพราะจักขุทวารวิถีกับ มโนทวารวิถีเกิดติดต่อกันอย่างรวดเร็ว เหมือนนกที่บินไปเกาะกิ่งไม้ ทันทีที่นกเกาะ กิ่งไม้ เงาของนกก็ปรากฏที่พื้นดินฉันใด เมื่ออารมณ์ปรากฏทางจักขุทวารก็ปรากฏต่อทางมโนทวารทันทีหลังจากที่ภวังคจิตเกิดคั่นแล้วอย่างรวดเร็วที่สุด จึงทำให้ไม่รู้ว่า รูปารมณ์ที่ปรากฏทางตาเป็นแต่เพียงสิ่งซึ่งสามารถกระทบกับจักขุปสาทแล้วปรากฏ

    ถ. อาจารย์กล่าวว่า บัญญัติรู้ได้ทางมโนทวาร ถ้าจะเจริญสติปัฏฐาน ทางมโนทวาร ฟังแล้วคล้ายกับว่าจะเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานได้

    สุ. ถ้าอย่างนั้นเริ่มในขณะนี้เลย กำลังได้ยินเสียง มีบัญญัติไหม เสียงเป็นปรมัตถธรรม ความหมายที่รู้เมื่อเสียงปรากฏเป็นบัญญัติ การที่จะรู้ความหมายของเสียงที่ปรากฏ ต้องรู้ทางมโนทวาร

    จิตเกิดขึ้นรู้บัญญัติทางมโนทวาร เพราะฉะนั้น เวลาที่นึกเป็นคำ สติจะต้องรู้ว่า ขณะนั้นเป็นจิตที่กำลังรู้คำว่า คำ เป็นเสียงที่บัญญัติให้รู้ว่าหมายความว่าอะไร

    ถ. สติรู้สภาพที่คิดนึกได้ แต่รู้บัญญัติไม่ได้

    สุ. แน่นอน ถูกต้อง แค่ทางตา ทางหู บัญญัติก็ปิดบังไว้ตลอด และยังทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

    ถ. แสดงว่าสภาพที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จะข้ามทางมโนทวารไม่ได้เลย คือ ทางตา สภาพเห็นปรากฏ มีภวังคจิตเกิดคั่น และต่อทางมโนทวาร

    สุ. ทางมโนทวารจะต้องรู้รูปเดียวกับที่ทางปัญจทวารรู้ ถ้าชวนจิตทาง ปัญจทวารเป็นโลภมูลจิต ชวนจิตทางมโนทวารก็เป็นโลภมูลจิตประเภทเดียวกัน

    ถ. อย่างทางตา ขณะที่เห็นเป็นปากกา แสดงว่า คำว่าปากกาเป็นทางมโนทวารแล้ว

    สุ. ยังไม่ได้พูดว่า ปากกา ก็มีบัญญัติแล้ว เพราะฉะนั้น บัญญัติไม่ได้หมายความแต่เฉพาะสัททบัญญัติหรือนามบัญญัติ ซึ่งเป็นเสียงหรือเป็นคำ เพียงแต่สิ่งที่ปรากฏนี่

    ถ. เข้าใจแล้ว เห็นแล้วจำได้ก็เป็นบัญญัติแล้ว ใช่ไหม

    สุ. รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยประการใดๆ นั่นคือบัญญัติ

    ถ. หมายความว่า ทุกทวาร คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ต้องต่อด้วยมโนทวารวิถีทุกครั้ง ใช่ไหม

    สุ. ใช่ เพราะฉะนั้น อารมณ์ที่ปรากฏ คือ รูปารมณ์ จะปรากฏ ๒ ทวาร คือ ทางจักขุทวารและทางมโนทวาร เสียงก็ปรากฏ ๒ ทวาร คือ ทางโสตทวารและทางมโนทวาร ทางกายก็เหมือนกัน ทวารทั้ง ๕ เมื่อปรากฏทางทวารหนึ่งทวารใด แล้วภวังค์คั่น และก็ต้องปรากฏต่อทางมโนทวาร

    ถ. สมมติว่าเราลิ้มรสเปรี้ยว ขณะที่เปรี้ยวก็เป็นบัญญัติแล้ว ถูกไหม

    สุ. อะไรเปรี้ยว

    ถ. สมมติว่าทานส้มเปรี้ยว

    สุ. ใช่ ส้มเปรี้ยวเป็นบัญญัติ

    ถ. แต่ที่ถูกต้อง คำว่า ส้มเปรี้ยว ต้องมาทางมโนทวาร ไม่ใช่ตอนลิ้มรส

    สุ. ใช่ นั่นเป็นสัททบัญญัติ แต่ถ้าเห็นเป็นสัตว์ เป็นบุคคลอย่างนี้ ก็เป็นสัตวบัญญัติ บัญญัติสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้ ยังไม่พอ ยังชื่อนั้นชื่อนี้อีก ก็มีบัญญัติหลายอย่าง

    สำหรับทางหู ถ้าไม่มีคำ ไม่มีความหมาย เรื่องราวต่างๆ คงจะไม่มากมายอย่างนี้ แต่เพราะเสียงทุกเสียงปรากฏแก่จิต เมื่อปรากฏทางมโนทวารก็ทำให้สัญญา ความจำสามารถที่จะรู้ความหมายของเสียงต่างๆ เป็นชื่อต่างๆ เป็นคำต่างๆ ซึ่งใน อัฏฐสาลินี นิกเขปกัณฑ์ พระบาลีแสดงนิทเทสอธิวจนทุกะ ข้อ ๑๓๑๓ และ ข้อ ๘๔๑ มีข้อความว่า

    อธิวจนธรรม คือ ธรรมเป็นชื่อ เป็นไฉน

    ทุกอย่างในห้องนี้มีชื่อ ใช่ไหม มีดินสอ เป็นชื่อไหม ปากกา โต๊ะ เก้าอี้ ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น อธิวจนธรรม คือ ธรรมเป็นชื่อ เป็นไฉน

    คือ การกล่าวขาน สมัญญา บัญญัติ โวหาร นาม การขนานนาม การตั้งชื่อ การออกชื่อ การระบุชื่อ การเรียกชื่อของธรรมนั้นๆ อันใด สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่าอธิวจนธรรม คือ ธรรมเป็นชื่อ

    ธรรมทั้งหมดแล ชื่อว่าอธิวจนปถธรรม คือ ธรรมเป็นเหตุของชื่อ

    ถ้าไม่มีสภาพธรรม ชื่อก็ไม่มี แต่เมื่อมีสภาพธรรม จะไม่มีชื่อมีไหม เพราะข้อความในอรรถกถามีว่า ธรรมทั้งหมดแล ชื่อว่าอธิวจนปถธรรม คือ ธรรมเป็นเหตุของชื่อ

    ถ้าเข้าไปในป่า มีต้นไม้หลายอย่าง ก็จะถามว่า นี่ต้นอะไร บางคนรู้จักชื่อก็บอกว่า ต้นกระถิน ต้นมะม่วง ต้นตะเคียน แม้ต้นไม้ไม่มีชื่อก็ยังบอกว่า ต้นไม่มีชื่อ ต้นนี้ไม่รู้จักชื่อ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างมีชื่อที่จะให้รู้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีธรรมใดๆ ที่จะ ไม่เป็นเหตุของชื่อ

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ธรรมทั้งหมดแล ชื่อว่าอธิวจนปถธรรม คือ ธรรมเป็นเหตุของชื่อ อธิบายว่า ขึ้นชื่อว่าธรรมที่ไม่เป็นเหตุของชื่อหามีไม่ ธรรมเอกย่อมประมวลเข้าในธรรมทั้งหมด ธรรมทั้งหมดก็ประมวลเข้าในธรรมเอก

    ประมวลอย่างไร อธิบายว่า นามบัญญัตินี้ชื่อว่าเป็นธรรมเอก ธรรมเอกนั้นย่อมประมวลเข้าในธรรมทั้ง ๔ ภูมิทั้งสิ้น ทั้งสัตว์ ทั้งสังขาร ชื่อว่าพ้นไปจากนาม หามีไม่

    ถ้าไม่มีชื่อ ไม่ทราบจะเข้าใจกันได้อย่างไร จะใช้ จะเรียก จะขาน จะเอามาเป็นประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าไม่ชื่อช้อน ไม่ชื่อส้อม ไม่ชื่อสบู่ ไม่ชื่อขัน ไม่ชื่อขวด

    เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะเป็นปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรม ก็ยังไม่พ้นจากชื่อ ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติตามลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ คือ

    เป็นขันธบัญญัติ ๕ เป็นอายตนบัญญัติ ๑๒ เป็นธาตุบัญญัติ ๑๘ เป็น สัจจบัญญัติ ๔ เป็นอินทริยบัญญัติ ๒๒ เป็นบุคคลบัญญัติหลายจำพวก

    แสดงให้เห็นว่า แม้พระธรรมที่ทรงแสดงก็ไม่พ้นไปจากชื่อ นามบัญญัติต่างๆ

    เรื่องของโลภมูลจิต ซึ่งเกิดเป็นประจำทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แม้ว่าเป็นโลภมูลจิตที่ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด เป็นโลภมูลจิต ทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ก็ต้องรู้ด้วยว่า อารมณ์ของโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ไม่ใช่พอใจเฉพาะแต่ในปรมัตถธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ยังพอใจไปจนกระทั่งถึงชื่อต่างๆ เรื่องต่างๆ บัญญัติต่างๆ ทั้งนิมิตและ อนุพยัญชนะด้วย

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ ตอบกันได้แล้วว่ามีอะไรเป็นอารมณ์ ก็มีบัญญัติ เป็นอารมณ์ จนกระทั่งปิดบังไม่ให้รู้ลักษณะของปรมัตถธรรมตามความเป็นจริง

    ถ. ไม่ว่าภาพองุ่น หรือองุ่น เวลาเราไปแตะต้อง อ่อนแข็งก็เป็นปรมัตถ์ รสขององุ่นก็เป็นปรมัตถ์ ปรมัตถ์หลายๆ อย่างรวมกันก็เป็นองุ่นจริงๆ ที่เราบัญญัติ เพราะฉะนั้น บัญญัติก็เป็นของจริง

    สุ. รูป รส เกิดและดับไป เพราะมีอายุเพียงแค่ ๑๗ ขณะ รูปสีที่เห็นว่าเป็นองุ่นก็เกิดขึ้นและดับไปเพียงแค่ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น มีองุ่นได้ไหม

    ถ. มีในความจำ

    สุ. เพราะฉะนั้น เป็นบัญญัติว่าสิ่งนั้นเป็นองุ่น แต่ความจริงสิ่งนั้นคือรส ที่เกิดและดับ สิ่งนั้นคือแข็งที่เกิดแล้วดับ

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1352

    ถ. แต่บัญญัติมาจากปรมัตถ์หลายๆ อย่างที่มารวมกันเป็นกลุ่มก้อน

    สุ. จึงไม่ประจักษ์ความเกิดดับ เมื่อไม่ประจักษ์ความเกิดดับก็ยึดถือ สภาพที่ปรากฏนั้นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ถ. บัญญัติไม่ใช่ของจริงหรือ

    สุ. สัตวบัญญัติ สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่สามารถจะปรากฏทางหู เวลากระทบสัมผัสทางกาย ทุกสิ่งแข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน เหมือนกันหมด จึงเป็นธาตุ ไม่ใช่เรา

    ถ. บัญญัติมาจากปรมัตถ์หลายๆ อย่าง อ่อนแข็ง เย็นร้อน สี เสียง มารวมกันเป็นกลุ่มเรียกว่าคน มีสีอย่างนั้น มีสัณฐานอย่างนั้น มีเสียงอย่างนั้น ก็เป็นคนนั้น บัญญัติก็มาจากปรมัตถ์

    สุ. เพราะฉะนั้น จึงต้องแยกเป็นแต่ละทวาร และทวารหนึ่งต้องดับจริงๆ อย่างทางตา รูปที่ปรากฏในขณะนี้มีอายุเพียง ๑๗ ขณะและดับ เพราะฉะนั้น ๑๗ ขณะนี่ยังไม่ทันเดิน หรือยืน หรือก้าว หรืออะไรทั้งนั้น ที่จะยกมือขึ้นนี่ก็เกิน ๑๗ ขณะแล้ว เพราะฉะนั้น ที่เห็นเป็นคนเดิน หรือว่าเห็นเป็นคนยกมือ แสดงให้เห็นว่า รูปดับ และเกิดสืบต่อทั้งทางจักขุทวารวิถี ภวังค์คั่น มโนทวารวิถีเกิดมากมายจนกระทั่งปรากฏเป็นกำลังเดิน หรือกำลังยกมือ

    ตามความเป็นจริง ๑๗ ขณะนี้เร็วมาก เพราะทางตา ๑๗ ขณะนี้ต้องดับก่อน ที่จะได้ยินเสียง เพราะฉะนั้น ที่ปรากฏเหมือนทั้งได้ยินด้วยและทั้งเห็นด้วย ในช่วงนี้ ระหว่างได้ยินกับเห็น รูป ๑๗ ขณะทางตาดับไปแล้ว และเสียงก็ดับไปด้วย เพราะฉะนั้น การยกมือที่เห็นเป็นคนยกมือ เห็นเป็นคนเดินแต่ละครั้ง นามธรรมและรูปธรรมเกิดดับมากมาย แต่เมื่อไม่ประจักษ์ก็ยึดถือโดยบัญญัติสิ่งที่ปรากฏนั้นว่า เป็นคนบ้าง เป็นหญิงบ้าง เป็นชายบ้าง เป็นวัตถุสิ่งนั้นสิ่งนี้บ้าง

    แต่อย่าลืม แม้เมื่อเริ่มศึกษาปรมัตถธรรมว่า ปรมัตถธรรมเป็นสภาพธรรมที่ มีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่วัตถุสิ่งใดๆ สิ่งที่ได้ศึกษาแล้วก็ต้องเป็นความจริงตั้งแต่ต้นไปจนตลอด และแล้วแต่ว่าสติปัญญา จะอบรมเจริญขึ้นจนกระทั่งประจักษ์แจ้งในสิ่งซึ่งอาจจะชินหูและพูดตามได้ว่า ปรมัตถธรรมเป็นสิ่งซึ่งมีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ได้หรือเปล่า

    รสมีจริง แข็งมีจริง บัญญัติรสและแข็งนั้นว่าองุ่น แต่สิ่งที่มีจริงคือรส เกิดขึ้นและดับไป ๑๗ ขณะ แข็งเกิดขึ้นและดับไป ๑๗ ขณะ จึงไม่มีองุ่น ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่เพียงรูปธรรมและนามธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว

    ปรมัตถธรรมต้องเป็นปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมต้องย้อนกลับไปให้ตรงกับแม้ตอนต้นที่ศึกษา แม้แต่คำว่า อนัตตา ก็ต้องเข้าถึงอรรถของ ปรมัตถธรรม ทั้งขั้นของการฟัง การพิจารณา การอบรมเจริญปัญญาจนประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้น อย่าลืม ขณะใดที่ไม่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ขณะนั้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์

    ถ. ของจริงที่ท่านแยกเป็นปรมัตถสัจจะกับสมมติสัจจะ บัญญัติจะเป็นสมมติสัจจะได้ไหม

    สุ. แต่บัญญัติไม่ใช่ปรมัตถ์

    ถ. แต่เป็นของมีจริง เรียกว่า สมมติสัจจะ ได้ไหม

    สุ. ได้ แต่ไม่มีลักษณะที่เป็นปรมัตถ์ อย่างองุ่น ชื่อเท่านั้น ชื่อองุ่นนั้นไม่มีรสอะไรทั้งสิ้น แต่รสที่มี บัญญัติรสนั้นว่าเป็นองุ่น

    สำหรับโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ นอกจากจะพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ยังพอใจในบัญญัติ ธรรมดาๆ ซึ่งเป็นไปในชีวิตประจำวัน ก็ยังพอใจในมิจฉาสมาธิได้ เช่น ผู้ที่พอใจในการบริหารร่างกาย รู้ว่าถ้าฝึกแบบโยคะ ให้จิตตั้งมั่นจดจ้องที่ลมหายใจเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงได้ ในขณะนั้นเป็นการอบรมหรือการทำสมาธิประเภทหนึ่ง ซึ่งเมื่อไม่ใช่กุศลจิตที่เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ก็ต้องเป็นโลภมูลจิตซึ่งเป็นมิจฉาสมาธิ แต่ผู้นั้นไม่ได้เห็นผิดว่านี่เป็นหนทางที่จะทำให้รู้ สัจจบัญญัติ เพราะฉะนั้น ก็เป็นแต่เพียงความพอใจที่จะทำสมาธิ และรู้ว่าในขณะนั้นมีความต้องการสมาธิเพื่อประโยชน์แก่สุขภาพร่างกาย ไม่ใช่เห็นผิดโดยยึดถือว่า ต้องทำอย่างนี้ก่อน และมาพิจารณานามธรรมและรูปธรรมจะได้เร็วขึ้น ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ไม่เข้าใจลักษณะของสัมมาสติว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่ว่าไปทำมิจฉาสมาธิก่อน จะได้มาเกื้อกูลให้ปัญญาสามารถรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้

    การที่สติจะเป็นสัมมาสติ เป็นมรรคหนึ่งในมรรคมีองค์ ๘ ได้ ก็เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ ความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏซึ่งเป็นอารมณ์ที่สติจะต้องระลึกโดยถูกต้องและละเอียดขึ้น เป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งให้สติระลึกลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ถูกต้อง เช่น ทางตาที่กำลังเห็นจะได้รู้ว่า ขณะใดเป็นบัญญัติ และขณะใดเป็นปรมัตถ์ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เช่นเดียวกัน

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะดูโทรทัศน์ ดูกีฬา หรืออะไรๆ ก็ตามแต่ จะอ่านหนังสือ จะดูภาพเขียน ก็จะรู้ว่า ขณะใดเป็นบัญญัติ ขณะใดเป็นปรมัตถ์ มิฉะนั้นแล้วอาจจะคิดว่า เรื่องในโทรทัศน์เป็นบัญญัติ แต่ว่าที่กำลังปรากฏในขณะนี้ไม่ใช่บัญญัติ แต่ความจริงเป็นบัญญัติทั้งนั้น แม้แต่ชื่อของทุกท่านก็เป็นนามบัญญัติ เป็นคำที่ตั้งขึ้นเพื่อให้รู้ว่า หมายความถึงสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป ที่สะสมมาของแต่ละบุคคลที่สมมติขึ้นว่าเป็นบุคคลนั้น บุคคลนี้

    เรื่องของมิจฉาสมาธิที่เป็นโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ต่างกับขณะที่เข้าใจว่า มิจฉาสมาธิเป็นทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะฉะนั้น มิจฉาสมาธิ มี และไม่ใช่แต่เฉพาะในประเทศไทย แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม ขณะใดที่ไม่ใช่ มหากุศลญาณสัมปยุตต์ ขณะนั้นต้องเป็นมิจฉาสมาธิ ถ้าเข้าใจว่าเป็นหนทางที่จะ ทำให้ชำนาญขึ้นในการที่สติจะระลึกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ถ้าเข้าใจ อย่างนี้ ผิดทันที เพราะสัมมาสติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมโดยถูกต้อง ไม่ได้อาศัยการทำมิจฉาสมาธิก่อน

    ถ. ในลักขณาทิจตุกะกล่าวว่า สมาธิเป็นเหตุใกล้ของวิปัสสนา

    สุ. หมายถึงสมาธิอะไร

    ถ. คงเป็นสัมมาสมาธิ จึงจะเป็นเหตุใกล้

    สุ. ถูกต้อง

    ในคราวก่อนเป็นเรื่องของบัญญัติอารมณ์ ซึ่งเป็นอารมณ์ที่มีอยู่เป็นประจำวัน ขณะใดที่ไม่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ขณะนั้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น ลองคิดดูว่า วันหนึ่งๆ มีบัญญัติเป็นอารมณ์มากไหม ทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่ ได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่กระทบสัมผัส ทางใจที่คิดนึก จะมีอารมณ์อื่นอีกได้ไหม นอกจากปรมัตถอารมณ์กับบัญญัติอารมณ์

    ในวันหนึ่งๆ ตลอดชาตินี้ ชาติก่อน ชาติหน้า ทุกภูมิ ทุกโลก จะมีอารมณ์อื่นนอกจากปรมัตถอารมณ์กับบัญญัติอารมณ์ได้ไหม ลองคิดดู มีได้ไหมอารมณ์อื่น นอกจาก ๒ อารมณ์นี้

    ตอบว่า ไม่ได้ เพราะอารมณ์มี ๖ เท่านั้น และในอารมณ์ ๖ นี้ นอกจากปรมัตถธรรมก็เป็นบัญญัติ เพราะฉะนั้น ไม่มีอารมณ์อื่นอีก

    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีบัญญัติเป็นอารมณ์หรือเปล่า ถ้าพูดถึงคนธรรมดา ชีวิตประจำวันของทุกคน เห็น จักขุทวารวิถีจิตดับหมดแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีจิตมีปรมัตถอารมณ์เดียวกับจักขุทวารวิถีจิตที่เพิ่งดับไปวาระหนึ่ง ภวังค์คั่น มโนทวารวิถีจิตที่เกิดต่อมีการนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ เพราะสิ่งที่ปรากฏทางตา แท้ที่จริงแล้วเป็นรูปๆ หนึ่ง ซึ่งเกิดกับมหาภูตรูป ๔ คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม

    เอาสีออกจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ได้ไหม เพราะที่ใดก็ตามที่มีมหาภูตรูป ๔ ที่นั้นต้องมีสี คือ วัณณะ และมีกลิ่น รส โอชา รวมอยู่ด้วย ซึ่งอย่างน้อยที่สุดต้องมีรูป ๘ รูปรวมอยู่ในกลุ่มหนึ่งๆ ของรูป เพราะฉะนั้น เมื่อไม่สามารถเอาสีออกจากมหาภูตรูปได้ สีจึงปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งซึ่งบัญญัติให้รู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏนั้นคืออะไร

    ทางตาที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่มีสีเลย เอาสีออกให้หมดจากมหาภูตรูป สามารถที่จะเห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ได้ไหม ก็เห็นไม่ได้ แต่เมื่อมี สีสันวัณณะต่างๆ ซึ่งเกิดกับมหาภูตรูป จึงปรากฏให้เห็น ทำให้บัญญัติสิ่งที่ปรากฏทางตา รู้ความหมายโดยอาการใดๆ นั่นคือบัญญัติ ทำให้รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีบัญญัติเป็นอารมณ์ไหม

    ต้องมีการฟังพระธรรมต้องพิจารณาถึงเหตุผลประกอบไปเรื่อยๆ

    อารมณ์มี ๒ อย่าง คือ ปรมัตถธรรมอย่างหนึ่ง บัญญัติธรรมอย่างหนึ่ง ขณะใดที่ไม่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ขณะนั้นต้องมีบัญญัติเป็นอารมณ์ ลืมไม่ได้เลย การที่กล่าวถึงเรื่องนี้บ่อยๆ เพื่อเกื้อกูลให้สติระลึกลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ถูกต้องว่า ทางตาในขณะที่สิ่งที่กำลังปรากฏเป็น สีสันวัณณะต่างๆ เพราะเอาสีออกจากมหาภูตรูปไม่ได้ จึงปรากฏให้เห็นสีของ มหาภูตรูป ทำให้เห็นเป็นบัญญัติต่างๆ ขึ้น เพราะฉะนั้น เวลาที่สติระลึก จะต้องแยกระลึกให้ถูกต้องว่า ทางตาที่กำลังปรากฏ คือ สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสีสันต่างๆ เท่านั้น ส่วนในขณะที่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ขณะนั้นเป็นมโนทวารวิถีจิต

    เมื่อได้ศึกษาอย่างนี้แล้วจะเห็นได้ว่า ชีวิตประจำวันของทุกคน ทุกชีวิต ตามความเป็นจริง ต้องมีขณะที่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์บ้าง และมีขณะที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์บ้าง สืบต่อกัน เช่น ทางตาที่เห็น ไม่ได้เห็นแต่ปรมัตถอารมณ์ทาง จักขุทวารวิถี เมื่อจักขุทวารวิถีดับหมดแล้วถึงมโนทวารวิถี มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ไม่ว่าใครทั้งนั้น มิฉะนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่รู้บัญญัติว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นอาหาร เป็นถ้วย เป็นจาน เป็นช้อน เป็นส้อม จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เลย แต่ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ปรากฏ เป็นสีซึ่งติดอยู่กับมหาภูตรูป จะเอาสีนั้นออกจาก มหาภูตรูปไม่ได้ จึงปรากฏว่าบัญญัติเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

    เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องมีบัญญัติ เป็นอารมณ์ สัตว์ดิรัจฉานก็ต้องมีบัญญัติเป็นอารมณ์เหมือนกัน มีใครบ้างที่ไม่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ไม่มีเลย

    นี่เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ เช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์อื่นๆ พระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน และปุถุชน ต่างก็มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์บ้าง มีบัญญัติเป็นอารมณ์บ้าง แต่ต่างกันอย่างไร หรือว่าไม่ต่างกันเลย ระหว่างพระอริยเจ้ากับปุถุชนซึ่งต่าง ก็มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์บ้าง มีบัญญัติเป็นอารมณ์บ้าง ต่างกันไหม

    ต่างกันที่ปัญญา เพราะปุถุชนไม่เคยรู้เรื่องปรมัตถธรรมเลย จึงมีการยึดถือบัญญัตินั้นว่าเป็นสิ่งที่จริง แต่ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมแล้วรู้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่เที่ยง และบัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็นแต่เพียงการหมายรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น เพราะฉะนั้น บัญญัติจึงเป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิก ถ้าจิตเจตสิกไม่มี บัญญัติจะ มีได้ไหม ก็ไม่ได้

    ถ้ามีแต่รูปธรรมเท่านั้น ไม่มีนามธรรม ไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก จะมีบัญญัติไหม ก็ไม่มี เพราะรูปไม่ใช่สภาพที่รู้อารมณ์ จิตและเจตสิกเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ เพราะฉะนั้น บัญญัติเป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิก ถ้าจิตเจตสิกไม่เกิด ก็ไม่มีการ รู้บัญญัติ ถ้ามีแต่รูปธรรมอย่างเดียวเท่านั้นจะไม่มีบัญญัติเลย แต่เพราะจิตเจตสิกเกิดขึ้นรู้สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมทางจักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร และมโนทวารแล้ว วาระต่อไปยังรู้บัญญัติของสิ่งที่ปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนั้นด้วย

    เพราะฉะนั้น การที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ของผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล กับผู้ที่ไม่ใช่พระอริยบุคคลจึงต่างกัน เพราะผู้ที่ไม่ใช่พระอริยบุคคลยึดถือบัญญัติว่า เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลรู้ว่า สภาพธรรมขณะใดเป็นปรมัตถธรรม และขณะใดเป็นบัญญัติอารมณ์

    ขณะใดที่จิตรู้บัญญัติ ขณะนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเปล่า ไม่เป็น เพราะ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงมีบัญญัติเป็นอารมณ์ จะมีมิจฉาทิฏฐิได้อย่างไร

    ถ้าไม่พิจารณาโดยละเอียด โลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ กับโลภมูลจิต ทิฏฐิคตวิปปยุตต์ จะแยกกันได้อย่างไร

    ขณะที่เป็นโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ มีความพอใจในอารมณ์ทุกอย่างได้ พอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตาและในบัญญัติของสิ่งที่ปรากฏทางตา พอใจในเสียงที่ได้ยินทางหูและบัญญัติของเสียงที่ได้ยินทางหูด้วย ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โดยนัยเดียวกัน เป็นปกติ ไม่ได้มีความเห็นใดๆ เกิดขึ้น

    นี่คือชีวิตประจำวัน ซึ่งมีโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์เกิดบ่อย เป็นประจำ ขณะนั้นไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่โลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ เพราะฉะนั้น พระโสดาบันมีโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ซึ่งเป็นไปในอารมณ์ทั้ง ๖

    พระอรหันต์มีบัญญัติเป็นอารมณ์ แต่ไม่มีโลภมูลจิต แม้ทิฏฐิคตวิปปยุตต์ก็ไม่มี เพราะพระอรหันต์ดับกิเลสทั้งหมดเป็นสมุจเฉท แต่ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ถึงแม้จะรู้ลักษณะของอารมณ์ตามความเป็นจริงว่า ขณะใดเป็น ปรมัตถธรรม ขณะใดเป็นบัญญัติธรรม แม้อย่างนั้นก็ยังมีปัจจัยที่จะให้เป็นสุข เป็นทุกข์ ยินดียินร้ายไปตามปรมัตถอารมณ์และบัญญัติอารมณ์

    เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณาโดยละเอียดว่า ขณะใดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ขณะที่ ยึดมั่นในบัญญัติต่างๆ มีความเห็นผิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีจริง ในขณะนั้นเป็นสักกายทิฏฐิ ในเมื่อบัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม แต่ยึดถือว่าบัญญัตินั้นเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น นั่นต้องเป็นความเห็นผิด เป็นสักกายทิฏฐิ

    เมื่อสักกายทิฏฐิยังไม่ดับเป็นสมุจเฉท จะเป็นปัจจัยทำให้มีความเห็นผิดต่างๆ เกิดขึ้น เช่น เห็นว่ากรรมไม่มี ผลของกรรมไม่มี และยังมีความเห็นผิดอื่นๆ ต่อไปอีก เห็นว่ามีผู้สร้าง ต่างๆ เหล่านี้ นั่นเป็นเรื่องของความเห็นผิดต่างๆ แต่ให้ทราบว่า ขณะใดก็ตามที่จิตมีบัญญัติเป็นอารมณ์ ขณะนั้นไม่ได้หมายความว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1353

    มิจฉาทิฏฐิต้องเป็นการยึดมั่น เป็นความเห็นผิดที่ถือว่าบัญญัติมีจริง ซึ่ง ความจริงแล้วบัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่สิ่งที่มีจริง

    บัญญัติเป็นอารมณ์ของอกุศลจิตได้ไหม ได้ เป็นอยู่เป็นประจำ

    โลภมูลจิตเกิด พอใจในบัญญัติ โทสมูลจิตเกิด ไม่พอใจในบัญญัติ ไม่พอใจคนนี้ ไม่พอใจคนนั้น ในขณะนั้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น บัญญัติเป็นอารมณ์ของอกุศลจิตได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอกุศลอะไรก็ตาม ขณะนั้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์ได้

    บัญญัติเป็นอารมณ์ของกุศลจิตได้ไหม

    ชีวิตตามความเป็นจริง บัญญัติเป็นอารมณ์ของกุศลจิตได้ ในขณะที่ให้ทาน ถ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่จะให้นั้นเป็นอะไรกุศลจิตก็เกิดไม่ได้ ในขณะที่วิรัติทุจริต รักษาศีล ถ้า ไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นอะไรจะมีการวิรัติทุจริตไม่ได้

    ในขณะที่อบรมเจริญความสงบของจิตซึ่งเป็นสมถภาวนา มีบัญญัติเป็นอารมณ์ได้ไหม

    ถ้าไม่ลืมหลักที่ว่า ขณะใดที่ไม่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ขณะนั้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์ ก็จะรู้ได้ว่า แม้สมถภาวนาก็มีบัญญัติเป็นอารมณ์ด้วย เว้นสติปัฏฐานอย่างเดียวที่ไม่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ นอกจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นกุศลขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นสมถะ ก็มีบัญญัติเป็นอารมณ์ได้ แต่การที่จะรู้ว่าสภาพธรรมใดเป็นปรมัตถธรรม ต้องอาศัยการอบรมเจริญสติปัฏฐานเท่านั้น จึงจะรู้ได้

    ถ้าขณะใดที่สติปัฏฐานไม่เกิด ขณะนั้นไม่มีการศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม แต่จะมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์บ้าง มีบัญญัติเป็นอารมณ์บ้าง เป็นปกติในชีวิตประจำวัน

    การอบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะเป็นการรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ฉะนั้น ที่กล่าวว่า เจริญสติปัฏฐานไม่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ถูกหรือผิด คำตอบ คือ ถูก

    แต่ที่กล่าวว่า เจริญสติปัฏฐานโดยไม่ให้จิตเกิดขึ้นรู้บัญญัติอารมณ์ ถูกหรือผิด คำตอบ คือ ผิด เพราะไม่ใช่ชีวิตตามความเป็นจริง ใครจะยับยั้งไม่ให้จิตเกิดขึ้นรู้บัญญัติอารมณ์ได้ แต่ปัญญาจะต้องอบรมจนเจริญจนสามารถรู้ได้ว่า ขณะที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ เพราะจิตเกิดขึ้นรู้บัญญัติในขณะนั้น มิฉะนั้นบัญญัติจะเป็นอารมณ์ในขณะนั้นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่ยับยั้งไม่ให้คิดอะไรเลย หรือว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาที่เคยเห็นที่เคยรู้ตามปกตินั้นไม่ให้รู้ ถ้าเป็น อย่างนั้น จะไม่สามารถรู้ลักษณะของนามธรรมจริงๆ เนื่องจากในขณะที่กำลังมีบัญญัติเป็นอารมณ์ เป็นเพราะจิตและเจตสิกเกิดขึ้นมีบัญญัติเป็นอารมณ์ในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้น สติปัฏฐาน คือ รู้ว่าขณะใดที่จิตคิดนึก ไม่ว่าจะเป็นนึกถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือนึกถึงคำ หรือความหมายของเสียงที่กำลังได้ยิน หรือนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ขณะนั้นเป็นจิต ซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ยับยั้งจิตไม่ให้เกิดขึ้นนึกคิดเรื่องราวต่างๆ ไม่ได้ ปัญญาต้องรู้ทั่วในลักษณะของนามธรรมที่มี อารมณ์ต่างๆ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จึงจะหมดความสงสัยในลักษณะของนามธรรมได้

    แต่ถ้าไปกั้นไว้ ไม่ให้จิตที่รู้บัญญัติเกิดขึ้น ใครจะห้ามได้ ในชีวิตประจำวันตามความเป็นจริง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ความไม่รู้ทำให้เข้าใจว่า จะไม่ให้จิตคิดนึก หรือว่าไม่ให้มีการรู้บัญญัติของสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น จะพิจารณาจากข้อปฏิบัติได้ว่า ถ้าข้อปฏิบัติใดไม่ใช่การอบรมให้ปัญญาเจริญที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามปกติ แต่ให้เห็นสิ่งต่างๆ ผิดปกติไป ขณะนั้นเป็นมิจฉาสมาธิ ไม่ใช่สติปัฏฐาน ไม่ใช่การอบรมเจริญวิปัสสนา

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1354


    หมายเลข 14181
    29 พ.ย. 2568