ผลเสียจากการไม่ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ


    ถ. ผมก็เข้าใจอยู่ จากหนังสือที่อ่าน อยากให้อธิบายอิทธิบาท ๔

    สุ. อิทธิบาท คำว่า อิทธิ แปลว่า สำเร็จ บาทหรือปาท แปลว่า เบื้องต้น และเราต้องการอะไรที่จะให้สำเร็จ ถ้าเราต้องการจะสร้างจรวด ถือว่าเป็นอิทธิบาทหรือเปล่า อย่างอเมริกาสร้างจรวดไปดวงจันทร์ ถือว่าเขามีอิทธิบาทหรือเปล่า เขาไม่รู้เรื่องพระพุทธศาสนาเลย เพราะฉะนั้น ใช้คำนี้ไม่ได้เลย อิทธิ ถ้าสำเร็จเพราะโลภะ ไม่ชื่อว่าอิทธิ โลภะเขาเป็นเจ้าโลกอยู่แล้ว เราตามเขาตลอดเวลา เขาจะพาเราไปถึงไหน ถึงดาวอังคาร ดาวเสาร์ หรืออะไร เราไปด้วยหมด ไม่ได้ ไปทำอะไรที่เป็นอิทธิที่จะไปลบล้างเขาได้เลย

    เพราะฉะนั้น อิทธิบาท ในพระพุทธศาสนาหมายความถึงสำเร็จด้วยความเป็นกุศลอย่างยิ่ง ไม่ใช่ด้วยขั้นทาน ขั้นศีล แต่เป็นขั้นสมถภาวนา จิตสงบจนกระทั่ง ฌานจิตเกิดได้ หรือการที่ปัญญาอบรมเจริญขึ้นจนรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ นั่นคือ อิทธิบาท เป็นบาทของความสำเร็จ ไม่ใช่ขั้นธรรมดา และไม่ใช่ขั้นอกุศล แต่ต้องเป็นความสำเร็จทางกุศลที่ยิ่งใหญ่

    ถ. ผมเข้าใจว่า อิทธิบาท ๔ คือ จริยธรรมนั่นเอง

    สุ. เราใช้ภาษานี้มานานมาก ไม่ได้มีการแก้ไข ไม่ถูกต้อง ท่านจึงมีคำจำกัดความ นี่คือผลเสียจากการไม่ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ และพยายามใช้คำ อย่างมรรค ๘ ก็ดี มัชฌิมาปฏิปทาก็ดี ทุกอย่างเอามาใช้เองหมดเลย แต่ไม่ถูกเลย สักเรื่องหนึ่ง

    ถ. นึกว่าตัวเองรู้ ผมฟังแต่ศีล สมาธิ ปัญญา และมานั่งอ่าน ประหลาดใจมาก เมื่ออ่านอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำไมต้องเริ่มต้นด้วยปัญญา และ ตามด้วยสัมมาสมาธิ ผมก็คิดว่า คนสอนสวนทางกับพระพุทธเจ้า ผมอยากจะถามเรื่องนี้กับอาจารย์หลายครั้งแล้ว แต่ไม่ทราบว่าจะถามที่ไหน

    สุ. แต่ในมรรคมีองค์ ๘ มีครบทั้งศีล สมาธิ ปัญญา มีพร้อมกัน

    ศีล ได้แก่ วิรตี ๓ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ นี่เป็นศีล

    สมาธิ ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี่เป็นองค์ของสมาธิ

    สัมมาทิฏฐิ กับสัมมาสังกัปปะ เป็นองค์ของปัญญา

    เพราะฉะนั้น พร้อมทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ในมรรคมีองค์ ๘ แต่การที่เราจะอบรมเจริญปัญญา เพราะว่ามรรคเป็นหนทาง พาไปไหน ชื่อว่ามรรค คือ ทาง สัมมามรรคพาไปไหน พาไปถึงนิพพาน พาไปถึงการประจักษ์แจ้งพระนิพพาน พาไปถึงการเป็นพระอริยบุคคล เป็นอริยมรรค เพราะฉะนั้น ต้องตั้งต้นด้วยปัญญา ถ้าปราศจากปัญญา เจริญไม่ได้ เพราะว่าไม่ใช่ตัวเราที่รู้แจ้งนิพพาน แต่เป็นปัญญา ที่คมขึ้น เจริญขึ้น จนกระทั่งประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม แทงตลอด ละคลายการยึดติดในสังขารธรรมทั้งหลาย และโน้มไปสู่สภาพของวิสังขารธรรม หรืออสังขตธรรม คือ พระนิพพาน ต้องเป็นตัวปัญญาที่เจริญขึ้น เพราะฉะนั้น จึงต้องเริ่มด้วยสัมมาทิฏฐิ

    ถ. คือ ตัวปัญญา แต่ทำไมเวลาเราพูด เราพูดว่า ศีล สมาธิ ปัญญา

    สุ. เพราะว่ามีศีลสิกขา มีจิตตสิกขา มีปัญญาสิกขา

    ศีลสิกขา คือ ขณะนี้ถ้าเราเว้นการลักทรัพย์หรือการฆ่าสัตว์ นี่เป็นเพียง การเว้นทางกาย แต่ใจเราเป็นอย่างไร เว้น หรืออยากจะฆ่า อย่างยุง บางคนอยากฆ่าจังเลย แต่ไม่ได้ มีศีล ฆ่ายุงไม่ได้

    แต่อธิศีลสิกขา เป็นศีลที่ละเอียดกว่าที่จะล่วงออกไปทางกาย หรือทางวาจา เพราะแม้เพียงจิตที่เกิดคิดอย่างนั้น สติระลึกรู้ นั่นคือสังวรศีล ตัวสติเป็นสังวรศีล เพราะฉะนั้น ละเอียดกว่า ด้วยเหตุนี้การที่ปัญญาจะสมบูรณ์ถึงขั้นประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมได้ จึงต้องมีการสังวรด้วยสติที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมเป็นอธิศีลสิกขา ซึ่งจะนำไปสู่อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา

    คือ ธรรมละเอียดเป็นชั้นๆ จะใช้คำสักคำ คำไหน ก็ต้องถูกและจริงด้วย อย่าไปใช้ผิดๆ

    ถ. … (ได้ยินไม่ชัด)

    สุ. เพราะฉะนั้น จึงได้บอกว่า ดีที่เรารู้ เราจะได้แก้ไข ... เราต้องแก้ไข นิสัยเราหมดเลย นิสัยของเราเคยเป็นคนที่มากด้วยอวิชชา ความไม่รู้ เราก็ต้องเปลี่ยนเป็นผู้ที่กำลังอบรมเจริญวิชชา เหมือนเปลี่ยนจากมือซ้ายเป็นมือขวา [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1835]

    ถ. ท่านอาจารย์ต้องช่วยปรับความคิดผมเสียใหม่ ... ท่านอาจารย์บอกว่าไม่ถูก ผมก็ทั้งหนักใจและกลุ้มใจ

    สุ. ตั้งต้นใหม่ได้ เรียนใหม่ เข้าใจใหม่ จะได้ถูก ... เรามีทุกอย่าง พร้อมแล้ว เพียงแต่ความเห็นถูก เราก็แก้ไขได้ ถ้าเรายอมแก้สิ่งที่ผิดก็ดี เป็นตัวอย่างที่ประเสริฐด้วย เพราะว่าคนส่วนมากรักตัวสำคัญตนจนไม่ยอมแก้ เป็นอุปสรรคมาก ถ้าใครยอมแก้ได้ คนนั้นเป็นบัณฑิต

    ถ. ผมอยากจะแก้ตลอดเวลา ขอให้มีผู้แนะนำทางที่ถูกต้อง ...

    สุ. ก็ดีที่ยังเป็นผู้ที่ฟัง บางคนเขาคิดว่าถูกแล้ว เขาไม่ฟังคนอื่นเลย ยิ่งแย่ ไม่มีทางที่จะรู้ว่าตัวเองถูกหรือผิด

    พระพุทธศาสนามีประโยชน์ จะแก้ด้วยพระพุทธศาสนา เราควรจะอบรมเด็ก หรืออยากจะตั้งมูลนิธิ หรือสมาคมอะไรก็ตาม ใครที่พูดอย่างนี้ ให้เขาศึกษาด้วย อย่าให้เขาเพียงแต่คิดที่จะให้คนอื่นทำ

    ถ้าเราเน้นอย่างนี้ เราอาจจะได้อีกหลายคนที่เขาจะศึกษาและเข้าใจ และช่วยกันได้ อย่างไรก็ตามถ้าคนอื่นเขาไม่ทำ เราทำก็แล้วกัน เข็นคนอื่นนี่ยากจริงๆ เพียงแค่ฟังนี่ก็ยากที่จะฟัง เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องยากและ ไม่ทั่วไปกับทุกคน ถ้าเขาไม่เคยสะสมบุญไว้แต่ก่อน ก็ไม่มีโอกาสที่จะฟัง หรือฟังแล้วก็ไม่สนใจ หรือฟังแล้วก็ยังไปอย่างอื่นอีกที่คลาดเคลื่อน

    ถ. ผมว่าหลงกันมากมาย

    สุ. และจะทำอย่างไร มีทางเดียว คือ ช่วยให้ท่านได้ศึกษา หัวใจของ พระพุทธศาสนา คือ ต้องศึกษา ช่วยกันให้ศึกษา เพราะฉะนั้น เราไม่ไปคะยั้นคะยอใคร ตั้งต้นที่ตัวเรา และทุกคนศึกษา ตั้งต้นที่ตัวเอง ก็จะมีคนศึกษาอีกมาก

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1836


    หมายเลข 14206
    28 พ.ย. 2568