ผู้ฟังเกิดปัญญาของตัวเอง
ถ . มิจฉาสมาธิ ที่สามารถทำให้เกิดปีติในปีติ ๕ นั้น สามารถทำให้เกิด ปีติได้ถึงขนาดไหน เพราะบางทีเขาเห็นอาจารย์ต่างๆ ทำสมาธิเกิดลอยได้ ขั้นอุเพงคาปีติ เขาก็คิดว่าไปในแนวทางที่ถูกต้องแล้ว ขอถามว่า มิจฉาสมาธิ มีอานุภาพที่จะให้เกิดปีติถึงระดับไหน
สุ. ไม่ถึงระดับรูปาวจร
ถ . หมายความว่า อุเพงคาปีติก็เกิดได้
สุ. ที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีกล่าวไว้ชัดเจนในเรื่องของอกุศล เพราะที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ทรงแสดงเรื่องของการอบรมเจริญสัมมาสมาธิ แต่ทรงแสดงเรื่องลักษณะของมิจฉาสมาธิและมิจฉามรรคเพื่อให้มีการพิจารณาเปรียบเทียบ เพื่อเตือนตัวเองว่า ขณะนั้นเป็นมิจฉามรรค หรือเป็นสัมมามรรค และที่เห็นบุคคลหนึ่งบุคคลใดลอยได้ เห็นเอง หรือว่าฟังมา
ถ . เขาลือต่อๆ กันมา
สุ. เรื่องต่อๆ กันมา ไม่น่าจะพิจารณาเลย
ถ . ผมเป็นคนฟัง อยากจะให้เหตุผลเขาว่า ถูกหรือไม่ถูก
สุ. ถ้าจะให้เหตุผลเรื่องถูกหรือไม่ถูก คงไม่ต้องถึงกับปีติ เพียงแต่การเริ่มปฏิบัติก็สามารถทราบได้ว่า ผลของการปฏิบัตินั้นจะนำไปสู่อะไร เพราะถ้าปฏิบัติถูก ก็นำไปสู่ความเห็นถูกเพิ่มขึ้น แต่ถ้าปฏิบัติผิดด้วยความไม่รู้ ก็นำไปสู่ความไม่รู้ยิ่งขึ้น มีแต่ความไม่รู้ทั้งหมด
ถ . เขาบอกว่า ปีติที่เขาเกิด สมาธิที่เขาเกิด เขาติดอกติดใจมาก มีโอกาสเมื่อไรเขาจะไปอีก ผมว่านั่นเป็นลักษณะของอุปาทาน ปีติเจตสิกเกิดกับ โลภโสมนัสก็ได้ เกิดกับทิฏฐิคตสัมปยุตตจิตก็ได้ เป็นลักษณะของอุปาทาน แต่ ยังสงสัยว่า กุศลจะเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลหรือเปล่า อาจจะเป็นกุศลสมาธิ เป็นปัจจัยให้เขาเกิดอกุศลอุปาทานยึดมั่น
สุ. เป็นได้ แน่นอน แต่ในขณะนั้นเวลาที่สมาธิจะเกิด ต้องศึกษาโดยละเอียดว่า ขณะนั้นเป็นสัมมาสมาธิ หรือมิจฉาสมาธิ
ถ . อย่างนี้เราก็ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้มาก สามารถศึกษาสังเกตรู้ลักษณะของมิจฉาสมาธิ และสัมมาสมาธิว่าเป็นอย่างไร
สุ. แน่นอน พุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตัวเอง ไม่ใช่ให้เกิดความไม่รู้ ยิ่งศึกษาก็ต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมและเหตุผลของสภาพธรรมนั้นๆ ยิ่งขึ้น จึงจะเป็นพระพุทธศาสนา คือ เป็นคำสอนของ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
