เรื่องคำสวดต่างๆ


    ถ. คำสวดต่างๆ ใครเป็นผู้แต่งขึ้น ในสมัยพระพุทธเจ้ามีไหม พระอรหันต์แต่ง หรืออาจารย์ชั้นหลังๆ แต่ง สวดของอินเดีย ลังกา ไทย พม่า ญี่ปุ่น เหล่านี้ เหมือนกันหรือเปล่า

    สุ. สำหรับเรื่องสวด ที่ใช้คำว่า สวด เป็นภาษาบาลี เพราะว่าภาษาไทย ไม่มีใครใช้คำว่า สวด

    ภาษาบาลีน้อยคนที่จะเข้าใจความหมาย นอกจากผู้ที่ได้ศึกษาเป็นขั้นเปรียญต่างๆ ที่มีความรู้พอที่จะเข้าใจในไวยากรณ์ และในความหมายของคำนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฟังสวด และสวดยาว จะเข้าใจมากน้อยสักแค่ไหน แม้แต่ อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ

    อิติปิโสคืออะไร สวดอยู่เสมอ คำแปล คือ แม้เพราะเหตุนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้ายังไม่ได้ศึกษาพระธรรมเลย แม้เพราะเหตุนี้ แม้เพราะเหตุนี้ คือเหตุไหน ก็ไม่ทราบ

    ก็คือเหตุที่ได้ทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริงในเรื่องของสภาพธรรม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องของกรรม เรื่องของผลของกรรม เรื่องของปรมัตถธรรม เรื่องของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ที่พิสูจน์ได้ ทุกๆ ขณะ

    เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ใดได้ฟังพระธรรมและเข้าใจ และสติสามารถระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า ตรงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงทุกอย่าง จึงเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงอรรถในคำว่า แม้เพราะเหตุนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าไม่ใช่ให้คนหนึ่งคนใดต้องไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ลำบาก ขณะนี้มีสภาพธรรมอยู่แล้ว กำลังปรากฏ ล้วน เป็นธรรมทั้งหมด ที่กล่าวว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นธรรม กำลังเห็นก็ต้องเป็นธรรม กำลังได้ยินก็ต้องเป็นธรรม กำลังคิดนึกก็ต้องเป็นธรรม กำลังพอใจ ไม่พอใจ ก็ต้องเป็นธรรม เมื่อเข้าใจในธรรมยิ่งขึ้น ก็จะรู้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเหตุไหน

    คำสวดทั้งหลาย จะเพิ่มความหมาย ความซาบซึ้งในอรรถขึ้น ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจในความหมายนั้นๆ ด้วย ถ้าไม่รู้ภาษาบาลีก็ยากที่จะรู้ว่า ที่สวดนั้น คำไหน ขาดตกบกพร่องทางอักขระ ทำให้ความหมายเปลี่ยนแปลงไปไหม แม้แต่การออกเสียง ซึ่งดิฉันขอเรียนให้ทราบว่า ดิฉันไม่มีความรู้ในทางบาลีเลย พยายามที่จะศึกษา ภาษาบาลีหลายครั้ง แต่ภาษาบาลีก็ยากเหลือเกินสำหรับดิฉัน ตั้งต้นแล้วก็เลิกอีก ตั้งต้นอีกก็เลิกอีก เพราะว่าต้องท่องมาก สำหรับดิฉันเองถ้าจะให้ท่องและเพียงจำ ไม่กี่วันก็ลืม แต่ถ้าได้พิจารณาในเหตุผล ในสาระของธรรมแล้ว ดิฉันจะไม่ลืม และ มีความพากเพียรขวนขวายที่จะอ่าน ที่จะค้นคว้า ที่จะศึกษาต่อไปอีกเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น สำหรับภาษาบาลี ไม่มีความรู้เลย

    ในการบรรยายธรรมในปีแรกๆ ขอเรียนให้ทราบว่า พูดภาษาบาลีผิดๆ เช่น คำว่า สัตบุรุษ ดิฉันออกเสียงเป็น สัด–ตะ–บุรุษ เพียงแค่นี้ความหมายผิดแล้ว สัตตะ แปลว่า เจ็ด แต่ สัต-บุรุษ แม้ว่าเสียงไม่เพราะ แต่มาจากคำว่า สัทธรรม คือ ความจริง พระสัทธรรม ธรรมของผู้สงบ สัทธรรมมาจากคำว่า ส คือ สันติ สงบ คือ พระนิพพาน กับธรรม เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นสัตบุรุษ ถ้า ออกเสียงว่า สัด–ตะ–บุรุษ ก็เป็น ๗ ไม่ใช่เป็นสัทธรรม

    เพราะฉะนั้น เรื่องของการสวด ควรจะเป็นเรื่องของผู้ที่รู้ความหมาย แต่ สำหรับพุทธศาสนิกชนก็สวดมนต์กันมากโดยไม่ได้เข้าใจความหมายจริงๆ ซึ่งนั่นเป็นการดีขั้นต้นของขนบธรรมเนียมที่จะทำให้ไม่ละเลยการที่วันหนึ่งข้างหน้าจะเกิด สะกิดใจระลึกได้ว่า เราควรจะได้เข้าใจในสิ่งที่เราสวด หรือในสิ่งที่เรากล่าวด้วย

    ถ้าเราสวดยาวมาก ก็ควรจะเข้าใจทั้งหมดที่สวด แต่ถ้าสวดไม่กี่คำ ก็ควรจะเข้าใจในคำที่สวดด้วย สำหรับดิฉันเองสวดน้อยมาก สวดสั้นๆ แต่พยายามเข้าใจ ในอรรถของสิ่งที่สวด ไม่ได้สวดยาว [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1612]

    ที่ว่าการสวดนั้นใครเป็นผู้แต่ง ถ้าเป็นภาษาบาลีจากพระไตรปิฎก ทุกท่านย้อนกลับไปได้ แม้แต่คำกรวดน้ำที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ก็มาจากสมัยที่พระผู้มีพระภาค เสด็จไปเมืองราชคฤห์ และพระเจ้าพิมพิสารเสด็จไปเฝ้า ได้ฟังธรรม และได้ถวายทาน และพวกเปรตซึ่งเคยเป็นญาติในอดีตชาติของพระเจ้าพิมพิสารก็ได้มาคอยรับส่วนบุญ แต่เมื่อพระเจ้าพิมพิสารไม่ได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ พวกเปรตก็กลับไป วันรุ่งขึ้นเมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้กราบทูลให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ พระองค์ก็ทรงถวายภัตตาหารอีกครั้งหนึ่ง และได้อุทิศส่วนกุศล ซึ่งคำนั้นก็ยังคงใช้ตลอดสืบมาจนถึง ในครั้งนี้

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะตรวจสอบคำสวดต่างๆ ก็ย้อนกลับไปหาได้ในพระไตรปิฎก นอกจากจะมีพระอาจารย์รุ่นหลังซึ่งอาจจะคิดประดิษฐ์คำภาษาบาลี คือ รจนา เรียบเรียงตามความสามารถของท่าน นั่นก็คงจะสอบได้เช่นกันว่า เป็นของ พระอาจารย์สมัยไหน หรือว่ามาจากพระไตรปิฎก

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1613


    หมายเลข 14153
    28 พ.ย. 2568