วิปัสสนาเป็นอย่างไร ได้บุญกุศลอย่างไร


    . วิปัสสนาได้บุญกุศลอย่างไร ความหมายของวิปัสสนาเป็นอย่างไร

    สุ. ก่อนที่จะถึงเรื่องของวิปัสสนา ควรตั้งต้นที่กุศล เพราะถามเรื่องกุศลว่า วิปัสสนาเป็นกุศลอย่างไร เพราะฉะนั้น ควรที่จะเข้าใจความหมายของกุศล

    กุศล คือ สภาพจิตที่ดี ดีอย่างไร คือ ขณะนั้นไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ถ้าพูดอย่างนี้ และยังไม่ได้ศึกษาโดยละเอียด บางท่านก็บอกว่า ท่านไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ แต่ตามความจริง ขอเรียนให้ทราบว่า ทุกคนมีโลภะ โทสะ โมหะทุกวัน ตั้งแต่ตื่น ไม่รู้ตัวเลยว่าตื่นมาด้วยโลภะ ทันทีที่ตื่น ทำทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ การเคลื่อนไหวส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย การที่จะลุกขึ้น รักษา บริหารร่างกาย ก็เต็มไปด้วยความต้องการ ถ้าไม่ต้องการก็คงจะไม่ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ จิตเป็นอกุศล คือ เป็นโลภะอยู่เสมอ เหมือนมือที่ท่านมองดูอาจจะรู้สึกว่า ไม่เปรอะเปื้อนอะไร แต่ถ้าล้างมือฟอกสบู่จะเห็นได้ว่า มือที่มองดูสะอาด ความจริงสกปรก เพราะว่าฝุ่นละอองค่อยๆ จับอยู่เรื่อยๆ อย่างแผ่วเบาทีละเล็กทีละน้อย ฉันใด วันหนึ่งๆ จิตใจก็เต็มไปด้วยโลภะ ความต้องการ แต่ไม่รู้สึกตัวเลย นอกจากความต้องการนั้นจะมีกำลังปรากฏเป็นความกระสับกระส่าย เป็นความเดือดร้อน ที่จะต้องได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มา ขณะนั้นจึงกล่าวกันว่า มีโลภะ หรือเป็นโลภะ แต่ความจริงทุกชีวิต มีอกุศลเป็นประจำ คือ ไม่โลภะ ก็โทสะ หรือโมหะ

    วันนี้มีใครสบายใจตลอดเวลาบ้าง ตั้งแต่ตื่น

    ขณะที่สบายใจ ชอบ ตื่นมาแล้วก็ยิ้ม วันนี้อากาศดี สดชื่นแจ่มใส ขณะนั้น ชอบ ก็เป็นโลภะแล้ว แต่ถ้าเห็นฝุ่นแม้แต่เพียงเล็กน้อยตามเก้าอี้ หรือตามเครื่อง แต่งบ้าน ขุ่นใจบ้างไหม นิดเดียว หรือเกิดมีสิ่งของในบ้านซึ่งผิดปกติธรรมดา แตกเสียหาย รสอาหารเค็มไปนิดหนึ่ง หวานไปหน่อยหนึ่ง ขณะนั้นก็เป็นอกุศล คือ โทสะ ไม่ชอบแล้ว

    เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ โลภะบ้าง โทสะบ้าง เป็นอกุศล แต่ขณะใดที่เป็นกุศล คือ ขณะนั้นไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ยากหรือง่าย กับการที่จะไม่เป็นอกุศล

    สำหรับบางคน วันหนึ่งๆ อาจจะไม่มีกุศลเลย แต่สำหรับบางคน มีกุศล หลายอย่างตามอุปนิสัยที่ได้สะสมมา มีการช่วยเหลือบุคคลอื่น มีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ขณะนั้นยังไม่ต้องสละวัตถุหรือให้ทานทำบุญอะไรเลย แต่จิตที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตากรุณาในบุคคลอื่น ช่วยเหลือคนอื่น แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นกุศล บางคนก็มี วาจางาม คิดถึงอกเขาอกเรา เสียงอย่างนั้นไม่เหมาะ คำอย่างนี้จะทำให้คนอื่นเสียใจก็วิรัติ ไม่กล่าวคำอย่างนั้น ขณะนั้นก็เป็นกุศล

    เรื่องของกุศลอย่าคิดว่าเป็นแต่เรื่องของทาน การสละวัตถุเพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่นเท่านั้น เพราะว่าในการกระทำทานครั้งหนึ่งๆ ไม่ใช่ว่าจะเป็นกุศลตลอด

    ขอให้คิดดู ถ้าจะทำบุญ จะเลี้ยงพระ ก็ต้องเตรียมไปตลาด ไปซื้อสิ่งต่างๆ ระหว่างนั้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจบ้าง ไม่น่าพอใจบ้าง ก็เป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง หรือในขณะที่กำลังถวายวัตถุปัจจัย มีเสียงดังกระทบหู จะเป็นเสียงของอะไรก็ได้ สักอย่างหนึ่ง ชั่วขณะที่เสียงดังกระทบหู ขณะนั้นคงไม่รู้สึกตัวว่าไม่ชอบเสียงนั้นแล้ว เพราะฉะนั้น เพียงชั่วขณะสั้นๆ นั้น ก็มีอกุศลเกิดแทรกได้

    และวันหนึ่งๆ ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่เจริญสติปัญญา ศึกษา พิจารณาจิตใจ ของตัวเอง จะไม่รู้เลยว่าใจของตัวเองสะอาดหรือสกปรกแค่ไหน มีกุศลมากหรือ มีอกุศลมาก เวลาที่ถามกันถึงเรื่องกุศล อย่าคิดแต่เรื่องสิ่งที่ปรากฏภายนอกให้เห็น เช่น การทำบุญให้ทานต่างๆ แต่ต้องคิดถึงจิตของตนเองด้วยว่า ในขณะนั้นเป็น กุศลมาก หรือเป็นกุศลน้อย เช่น บางคนให้ และเสียดาย อาจจะเสียดายมาก หรือเสียดายนาน ขณะนั้นอกุศลก็มากกว่ากุศลที่ให้ เพราะชั่วขณะที่ให้ ก็ให้ไป แต่หลังจากนั้นแล้วเกิดเสียดาย ซึ่งอาจจะคิดเสียดายหลายวันก็ได้ แสดงว่า ขณะนั้นหลังจากที่กุศลจิตดับไป สำเร็จไปแล้ว อกุศลจิตก็เกิดต่อ

    ที่ถามว่า วิปัสสนาเป็นกุศลอย่างไร วิปัสสนาก็เป็นกุศลอีกขั้นหนึ่งที่สูงกว่า ขั้นทาน ขั้นศีล หรือขั้นสมถภาวนาซึ่งเป็นความสงบของจิต เพราะว่าบุคคลใดก็ตามให้ทานอย่างมากมาย ก็ยังไม่สามารถมีความสุขจริงๆ ได้โดยการไม่โกรธ เนื่องจากบางคนให้ทานมาก แต่ก็ยังโกรธ ยังหงุดหงิด ยังขุ่นเคืองใจอยู่เสมอ และขณะที่โกรธ หงุดหงิด ขุ่นเคืองใจ เป็นทุกข์หรือเป็นสุข

    เพราะฉะนั้น ทานกุศล ไม่ได้ช่วยให้หมดความโกรธหรือความขุ่นเคืองใจได้ บางคนได้ฟังพระธรรมก็เห็นจริงว่า เกิดมาไม่นานก็ต้องจากโลกนี้ไป และยังโกรธ คนนั้น โกรธคนนี้ มีประโยชน์อะไร พบกันก็ควรที่จะเกื้อกูลกัน ดีกว่าพบกันแล้ว โกรธกัน และก็ตายไปด้วยความโกรธ ขณะที่ระลึกได้อย่างนี้ ชั่วครั้งชั่วคราว ก็อาจจะไม่โกรธ แต่ก็ยังมีความเป็นตัวตน มีความเป็นเรา มีความเป็นเขา ซึ่งก็ยังไม่สามารถดับอกุศลทั้งหลายลงไปได้ แต่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อทรงตรัสรู้ธรรมที่ดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท คือ ไม่เกิดอีกเลย

    กิเลสทั้งหลายที่ทุกคนมี เช่น ความตระหนี่ ความหวงแหน ความโลภ ความติดข้อง ความพอใจ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ความริษยา ความอาฆาตพยาบาทต่างๆ หรือแม้แต่ความหงุดหงิดรำคาญใจเมื่อนึกถึงอกุศลที่ได้ทำไปแล้วหรือกุศลที่ยังไม่ได้ทำ ต่างๆ เหล่านี้ จะดับหมดเป็นสมุจเฉทไม่เกิดอีกเลย แต่ต้องด้วยการอบรมเจริญปัญญา รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น วิปัสสนาเป็นกุศลที่จะทำให้สามารถรู้สภาพธรรมตามความ เป็นจริง จนดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท และเมื่อท่านผู้หนึ่งผู้ใดบรรลุคุณธรรมเป็น พระอริยบุคคล ดับกิเลสแล้ว ย่อมเป็นประโยชน์ทั้งกับตนเองและบุคคลอื่น ที่กล่าวว่าจะเป็นกุศลอย่างไร ก็เป็นกุศลที่ทำให้ตนเองไม่เดือดร้อน และไม่ทำความเดือดร้อนให้บุคคลอื่นด้วย

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1613


    หมายเลข 14155
    28 พ.ย. 2568