อีกนาน หรือว่าเร็ว กว่าจะดับกิเลสได้
พระอริยบุคคลที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ยังเป็นสุข เป็นทุกข์ ตามบัญญัติอารมณ์ ได้ไหม และถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว ยังเป็นสุข เป็นทุกข์ ตามบัญญัติอารมณ์ได้ไหม
วิปลาส ความคลาดเคลื่อนมี ๓ คือ สัญญาวิปลาส ๑ ความจำที่วิปลาส เพราะเห็นสิ่งซึ่งเกิดดับไม่เที่ยงว่าเที่ยง นี่คือ สัญญาวิปลาส
จิตตวิปลาสโดยนัยเดียวกัน เพราะว่าสัญญาต้องเกิดกับจิต
ทิฏฐิวิปลาส คือ ผู้ที่เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงและมีความเห็นผิดยึดมั่นว่าเที่ยง และเห็นว่าเป็นสุขแทนที่จะเห็นว่าเป็นทุกข์ เพราะไม่ประจักษ์ความไม่เที่ยงก็ต้องเห็นว่า เป็นสุข และต้องเห็นว่าเป็นตัวตนเพราะไม่ประจักษ์ในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน เมื่อ เห็นว่าเป็นตัวตนก็ย่อมเห็นว่างาม
นั่นคือ วิปลาส ๔ โดยสัญญาวิปลาส ๑ จิตตวิปลาส ๑ ทิฏฐิวิปลาส ๑
พระโสดาบันบุคคล โสตาปัตติมรรคจิตดับทิฏฐิวิปลาสในอารมณ์ทั้ง ๔ คือ เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงตามความเป็นจริง รู้ว่าสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นเป็นทุกข์ตามความเป็นจริง รู้ว่าสภาพที่เป็นทุกข์ไม่เที่ยงนั้นเป็นอนัตตาและไม่งามตามความเป็นจริง แต่ยังมี จิตตวิปลาสและสัญญาวิปลาส
สำหรับพระอนาคามีบุคคล อนาคามิมรรคจิตดับสัญญาวิปลาสและ จิตตวิปลาสที่เห็นว่างามในสิ่งที่ไม่งาม เพราะสัญญาวิปลาสกับจิตตวิปลาสนี้ต้องดับพร้อมกัน เพราะฉะนั้น อนาคามิมรรคจึงดับสัญญาวิปลาสและจิตตวิปลาสที่เห็นว่างามในสิ่งที่ไม่งาม ทำให้ดับความพอใจในกามอารมณ์ คือ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะได้เป็นสมุจเฉท
แต่สำหรับพระอรหันต์นั้น อรหัตตมรรคจิตดับสัญญาวิปลาสและจิตตวิปลาส ที่เห็นว่าสุขในธรรมที่เป็นทุกข์ เพราะถึงแม้จะไม่ยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แต่ยังพอใจในภพ ในขันธ์ ในความสงบที่เป็นกุศลได้ เพราะฉะนั้น ในขณะที่มีความยินดีพอใจในภพ ในขันธ์ หรือในความสงบ ขณะนั้น เป็นสัญญาวิปลาสและจิตตวิปลาส ซึ่งผู้ที่จะดับได้ คือ อรหัตตมรรคจิต
เพราะฉะนั้น จะเห็นกำลังของกิเลสได้ว่ามากมาย และกว่าจะดับได้หมดจริงๆ ต้องอบรมเจริญปัญญา รู้ในสิ่งซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งในขั้นของการฟังและการอบรม โดยสติจะต้องระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงจนกว่าปัญญาจะสามารถดับกิเลสได้เป็นลำดับขั้น
อีกนาน หรือว่าเร็ว กว่าจะดับกิเลสได้ ตามความเป็นจริง วันหนึ่งๆ ที่จะรู้ว่านานหรือเร็ว คือ สติปัฏฐานเกิดบ่อยไหม และเมื่อเกิดแล้ว รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ถ้าเป็นความรู้โดยที่สติปัฏฐานไม่เกิด ขณะนั้นไม่ใช่การประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ปัญญาจะเจริญขึ้นได้จริงๆ ต้องในขณะที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเท่านั้น
ในขณะนี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แม้ในขณะที่ฟังนี่เอง สติระลึก ถ้ามีปัจจัยที่สติจะเกิดระลึก สติย่อมระลึกได้ในลักษณะที่กำลังปรากฏ จะเป็นทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือ ทางกาย หรือทางใจก็ได้ และผู้นั้นเองจะเป็นผู้ที่รู้ว่าปัญญาเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ในขณะที่สติกำลังระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เมื่อปัญญายังน้อย ความรู้จริงก็ต้องรู้ว่าขณะนั้นรู้น้อย ถ้าปัญญาค่อยๆ เพิ่มขึ้นเพราะมีการศึกษา สังเกต สำเหนียกในขณะที่สติระลึก ผู้นั้นก็จะรู้ได้ว่ากำลังศึกษา กำลังน้อมไปที่จะรู้ลักษณะของ สภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล จนกว่าจะมีความรู้เพิ่มขึ้นจริงๆ จนถึงขั้นการรู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามลำดับขั้น
แต่ไม่ต้องท้อถอย หรือไม่ต้องคิดหวังว่า จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมเมื่อไร เพราะสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมล้อมรอบอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าสติจะระลึกเมื่อไรเท่านั้นเอง และปัญญาจะเพิ่มเมื่อไร ก็เป็นเรื่องของการอบรมให้ปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
