บัญญัติคืออะไร
ควรเข้าใจธัมมารมณ์อีกประเภทหนึ่ง คือ บัญญัติ ซึ่งทุกท่านมีบัญญัติเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลาแต่ไม่รู้ว่านั่นคือบัญญัติ
หลักที่ควรทราบว่า ความหมายของบัญญัติคืออะไร คือ ขณะใดสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่ปรมัตถธรรม ขณะนั้นเป็นบัญญัติอารมณ์ ซึ่งใน อัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ มีคำอธิบายว่า
ที่ชื่อว่าบัญญัติ (ปญฺญตฺติ) เพราะให้รู้ได้โดยประการนั้นๆ
ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ ขณะที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์ คือ ที่ชื่อว่าบัญญัติ เพราะให้รู้ได้โดยประการนั้นๆ
ทางตา มีสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นรูปารมณ์ เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า จักขุทวารวิถีจิตทุกดวงต้องรู้รูปารมณ์ที่ยังไม่ดับ คือ ตั้งแต่ปัญจทวาราวัชชนจิต จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต ชวนจิต ตทาลัมพนจิต ต้องรู้รูปารมณ์ ที่ยังไม่ดับ
ทางหู ปัญจทวาราวัชชนจิต โสตวิญญาณ สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต ชวนจิต ตทาลัมพนจิต รู้เสียงที่ยังไม่ดับ
ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยนัยเดียวกัน
เพราะฉะนั้น บัญญัติมาเมื่อไร ทางตา ทันทีที่จักขุทวารวิถีจิตดับ ภวังคจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีจิตวาระแรกมีสีหรือสิ่งที่ปรากฏทางตาที่เพิ่งดับเป็นอารมณ์ เปลี่ยนไม่ได้เลย มิฉะนั้นจะไม่มีการรู้เลยว่า สิ่งที่เห็น บัญญัติเป็นอะไร เพียงเท่านี้ก็ทราบถึงความไม่รู้ในวันหนึ่งๆ ได้ใช่ไหมว่า เต็มไปด้วยความไม่รู้เรื่องของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาและต่อไปถึงทางใจ ว่าเมื่อไรจะเป็นบัญญัติ
มโนทวารวาระที่ ๑ ยังไม่ใช่บัญญัติอารมณ์ เพราะต้องเป็นปรมัตถอารมณ์ มโนทวารวาระที่ ๑ เริ่มด้วยมโนทวาราวัชชนจิต ๑ ขณะ และชวนจิต ๗ ขณะ ดับไปภวังคจิตเกิดคั่น ซึ่งไม่ทราบเลยว่าคั่นนานเท่าไร และมโนทวารวิถีจิตก็เกิดต่อ ที่จะมีบัญญัติเป็นอารมณ์ คือ ถ้าถามว่าเห็นอะไร ตอบว่าเห็นคน เห็นวัตถุ เห็นสิ่งต่างๆ ในขณะนั้นคือบัญญัติทั้งหมด ไม่ใช่ปรมัตถธรรม
ปรมัตถธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ปรากฏทางตาเท่านั้น ส่วนความคิดที่ว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ นั่นคือบัญญัติของสิ่งที่เห็น มิฉะนั้น จะไม่สามารถรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แต่บัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม
เพราะฉะนั้น ที่กล่าวตั้งแต่ต้นว่า สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน อย่าลืมว่าจะต้องสอดคล้องกันตลอดไป เมื่อไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ขณะที่เห็นเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ จึงเป็นบัญญัติ
ให้ทราบลักษณะของบัญญัติว่า ในขณะที่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นไม่ใช่เป็นปรมัตถ์ เนื่องจาก ที่ชื่อว่าบัญญัติ เพราะให้รู้ได้โดยประการนั้นๆ
ถ้าเห็นรูปเขียนขององุ่นกับผลองุ่น อะไรเป็นบัญญัติ
ชีวิตประจำวัน สภาพธรรมทั้งหมดไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ขณะที่เห็นรูปเขียนของผลไม้ชนิดหนึ่ง จะเป็นเงาะ มังคุด หรืออะไรก็ได้ กับผลไม้จริงๆ อะไรเป็นบัญญัติ
ถ้าเป็นภาพวาด มีภูเขา มีทะเล มีต้นไม้ แต่รู้ว่าเป็นรูปเขียน ไม่ใช่ภูเขา ไม่ใช่ทะเล ไม่ใช่ต้นไม้จริงๆ กับเวลาที่ไปที่ภูเขา เห็นภูเขา เห็นทะเล เห็นต้นไม้ อะไรเป็นบัญญัติ
ท่านผู้ฟังบอกว่า ชื่อเป็นบัญญัติ
ยังไม่ต้องเรียกชื่อก็มีบัญญัติแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าภาษาไหน แต่มีบัญญัติในสิ่งที่ปรากฏแล้ว มิฉะนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ที่รู้ว่าเป็นอะไรก็เพราะขณะนั้นเป็นบัญญัติ เพราะให้รู้ได้โดยประการนั้นๆ โดยยังไม่ต้องเรียกชื่อ เพียงเห็นรูปเขียนของผลไม้ กับผลไม้จริงๆ อะไรเป็นบัญญัติ
ทั้งสองอย่างเป็นบัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถ์
มีความต่างอะไรระหว่างผลไม้จริงๆ กับรูปเขียนผลไม้ในขณะที่เห็นทางตา เพราะสิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่องุ่น ไม่ใช่อะไรทั้งหมด แต่เวลาเห็นรูปเขียนองุ่นกับผลองุ่นอาจจะเข้าใจว่า เฉพาะรูปเขียนเป็นบัญญัติ ผลองุ่นไม่ใช่บัญญัติ ซึ่งความจริงแล้วทั้งรูปเขียนและผลองุ่นที่ปรากฏทางตาเป็นบัญญัติ เพราะทางจักขุทวารวิถีจะเห็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏ ส่วนทางมโนทวารวิถี มีบัญญัติเพราะให้รู้ได้โดยประการนั้นๆ คือ ให้รู้ได้ว่านี่คือองุ่น จะเป็นผลองุ่นหรือเป็นรูปเขียนองุ่นก็ตามแต่ แต่ให้รู้ได้ว่าเป็นองุ่น
เพราะฉะนั้น ทางตาในขณะที่กำลังเห็น ท่านผู้ฟังต้องพิจารณาจริงๆ ขณะนี้ เวลาที่กำลังเป็นคนนั้นคนนี้ ให้ทราบว่า เหมือนกับภาพเขียนที่เป็นบัญญัติแล้ว ยากที่จะถ่ายถอนออกไปได้ เห็นเก้าอี้ กระทบสัมผัสแข็งอย่างหนึ่ง และก็เห็น บัญญัติที่จะทำให้รู้ได้โดยประการนั้นๆ ว่า เป็นสิ่งที่จะนั่งลงไปได้
