ไม่ใช่ฌานแต่เข้าใจว่าเป็นฌาน


    เรื่องฌานจิตเป็นเรื่องของมหัคคตกุศล ซึ่งยิ่งใหญ่กว่ากามาวจรกุศล เพราะว่าตามธรรมดาของจิตที่เป็นไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ชวนจิตเกิดไม่เกิน ๗ ขณะอารมณ์ก็ดับ จึงเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมาก

    ความสุขในรูปก็ชั่วขณะที่รูปนั้นตั้งอยู่ ความสุขในเสียงก็ชั่วในขณะที่เสียงนั้นตั้งอยู่ เพราะฉะนั้น ชวนะที่กำลังเป็นโสมนัสเวทนาในขณะนั้นมีอายุที่สั้นมาก คือ ไม่เกิน ๗ ขณะ แต่สำหรับฌานจิตซึ่งเป็นมหัคคตะ สามารถระงับอกุศลได้ตราบ เท่าที่ฌานจิตนั้นยังเกิดดับสืบต่อกันอยู่โดยภวังคจิตไม่เกิดคั่นเลย เพราะฉะนั้น จะเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่มากสักแค่ไหน

    คนที่โกรธก็เร่าร้อน เมื่อหยุดโกรธก็สบายดีชั่ว ๗ ขณะ แต่ถ้าขณะนั้นเป็นกุศล สงบจากอกุศลทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอหิริกะ อโนตตัปปะ โมหะ อุทธัจจะ หรืออกุศลใดๆ ก็ตาม เป็นสภาพของจิตซึ่งสงบในอารมณ์ที่ทำให้จิตสงบจนถึงขั้น อัปปนาสมาธิ ซึ่งไม่ใช่มหากุศลจิต ไม่ใช่กามาวจรกุศล และสามารถตั้งมั่นได้ตลอดเวลานานอย่างนั้น ก็ขอให้คิดดูว่าใครจะทำได้

    กำลังโกรธ เพียงบอกว่า อย่าโกรธนะ แค่นี้ได้ไหม ถ้าไม่ได้ และจะให้สงบจากอกุศลถึงความเป็นมหัคคตะ คือ อัปปนาสมาธิ ซึ่งไม่มีภวังคจิตเกิดคั่นเลย ชวนะที่สงบนั้นเกินกว่า ๗ ขณะ ตามความสามารถของแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้น สำหรับธรรมใดๆ ก็ตามซึ่งมีผู้กล่าว ก็ควรจะตรวจสอบกับพระธรรมวินัย และคงจะ ไม่ลืมข้อความที่ว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงทะเลาะกับใคร แต่แต่ละบุคคลควร จะพิจารณาตนเองว่า ทะเลาะกับพระผู้มีพระภาคหรือเปล่า ในเมื่อพระองค์ทรงแสดง จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เริ่มด้วยสราคจิต คือ จิตที่เกิดร่วมกับความยินดีพอใจ ในอารมณ์ เป็นอกุศลจิตที่เป็นโลภมูลจิต ซึ่งเกิดเป็นประจำ จึงควรระลึก เพราะว่าเป็นปกติ

    ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน จะระลึกรู้ลักษณะของจิตประเภทไหนได้บ่อย

    วันนี้ยังไม่ได้โกรธบ่อยๆ เท่ากับชอบ หรือติดข้องในอารมณ์ที่ปรากฏตั้งแต่ ลืมตา เพราะฉะนั้น จิตประเภทไหนที่เมื่อระลึกเป็นปกติแล้วจะรู้ชัดในลักษณะที่ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และเรื่องละ อย่าลืม เป็นเรื่องรู้ รู้อะไร รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเพราะมีเหตุปัจจัย ไม่ใช่ทำให้เกิดขึ้นด้วยความต้องการ หรือด้วยความเป็นตัวตน

    ก่อนจะเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ผู้ที่เคยเจริญสมถภาวนาก่อนการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาค ก็แสวงหาหนทางที่จะระงับกิเลส แต่ไม่สามารถดับกิเลสได้ เป็นสมุจเฉท สามารถถึงเพียงอัปปนาสมาธิเป็นฌานจิตขั้นต่างๆ ซึ่งไม่ใช่สติปัฏฐาน เมื่อสิ้นชีวิตลงและไม่เป็นพระอริยบุคคล ฌานจิตที่ไม่เสื่อมซึ่งเกิดก่อนจุติจิตทำให้ปฏิสนธิในพรหมภูมิ เป็นพรหมบุคคล แต่ยังเป็นปุถุชน

    ส่วนผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน แม้จะไม่ถึงขั้นฌาน ไม่มีฌานจิตที่จะพิจารณา แต่ก็สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามปกติตามความเป็นจริง ดับกิเลสเป็นพระอริยบุคคล เพราะฉะนั้น แม้ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน พระอริยสาวกที่ไม่ได้ ฌานจิตก็มีจำนวนมากกว่าพระอริยสาวกที่บรรลุโลกุตตระเพราะพิจารณาฌาน เป็นบาท

    ในกาลสมบัติ ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลที่ได้ฌานจิตยังมีน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ฌานจิต และในสมัยนี้ ๒,๕๐๐ กว่าปี ยังหวังที่จะทำฌานก่อนและรู้แจ้งอริยสัจธรรมโดยมี ฌานนั้นเป็นบาท ก็ขอให้เปรียบเทียบดูว่า เป็นกาลสมบัติเหมือนในครั้งนั้นหรือเปล่า

    ทำไมไม่พอใจกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งอายุสั้นมาก ดับแล้ว ขณะใดที่ สติไม่ระลึก ลักษณะสภาพธรรมนั้นก็ผ่านไปด้วยความไม่รู้ ก็มีชีวิตอยู่ในโลกแต่ละขณะด้วยความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ไปทำอย่างอื่นขึ้นด้วยความต้องการ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่หนทางที่จะละ ตราบใดที่ยังไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง

    ทางตาที่เห็น ระลึกและศึกษาพิจารณา เพื่อที่วันหนึ่งจะรู้โดยการประจักษ์แจ้งว่า สภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนนั้นคืออย่างไร

    บางคนกล่าวว่า ไม่รู้จักปรมัตถธรรมเลย ก็เป็นความจริง เพราะแม้มี ปรมัตถธรรมจึงมีบัญญัติ แต่เมื่อไม่รู้ว่าปรมัตถธรรมเป็นอย่างไร สำหรับบุคคลนั้น ก็เป็นโลกของบัญญัติตั้งแต่เกิดจนตาย โลกที่มีคน มีวัตถุ มีสิ่งต่างๆ โดยไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วเป็นปรมัตถธรรม แต่เมื่อไม่รู้ก็เอาปรมัตถธรรมกับบัญญัติปนกันทันที อยู่ตลอดเวลา จึงแยกไม่ออกว่า สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถ์มีลักษณะอย่างใด และสภาพที่เป็นบัญญัติที่ไม่ใช่ปรมัตถ์นั้นคือเมื่อไร เพราะว่าทันทีที่เห็นก็ปนกันแล้ว ใช่ไหม ถ้าไม่มีปรมัตถธรรมที่ปรากฏทางตาให้เห็น จะมีบัญญัติได้ไหม แต่เมื่อไม่รู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นปรมัตถธรรมก็เป็นบัญญัติทันที ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    แต่สติปัฏฐาน คือ ขณะที่ระลึกศึกษาลักษณะของปรมัตถธรรมเพื่อที่จะรู้ว่า สภาพธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แยกปรมัตถธรรมออกจากขณะที่กำลังปนบัญญัติด้วยความนึกคิดในลักษณะของปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ

    ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ก็แยกไม่ออก ก็เป็นแต่เพียงการได้ยินได้ฟังตลอด ไม่ว่าจะเป็น ๑๐ ปี ๒๐ ปีว่า ปรมัตถธรรม คือ สภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และก็มีปรมัตถธรรมอยู่ตลอดเวลาให้รู้ได้ แต่แม้กระนั้นก็ไม่รู้ เพราะอวิชชา

    ขณะใดที่สติเกิดระลึกแล้ว ก็ต้องศึกษาพิจารณาน้อมไปรู้ในอาการรู้ ซึ่งเป็นลักษณะของจิต วิชานน ลักขณัง เป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏ เพราะจิตเกิด จึงรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ได้ยินอย่างนี้กี่ปีแล้ว และต่อไปอีกกี่ปี ถ้าสติไม่ระลึกในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน ในขณะที่ได้กลิ่น ในขณะที่ลิ้มรส ในขณะที่คิดนึก ก็ยังคงเป็นบัญญัติปนกับปรมัตถ์ทันทีทุกขณะที่เห็น ที่ได้ยิน

    เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียด และต้องอดทนที่จะระลึกศึกษา พิจารณารู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม

    ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้ว คงจะหมดปัญหาเรื่องการทำฌาน ใช่ไหม และถ้าไม่ใช่ฌานแต่เข้าใจว่าเป็นฌานก็ยิ่งไปกันใหญ่ ซึ่งบางท่านก็กล่าวว่าถึง เนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1584]


    หมายเลข 13875
    4 ส.ค. 2568