อาการกายเป็นอย่างไร


    ถ. ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาใหม่ เป็นปัญหาเก่าๆ ที่ยังทำความกระจ่างชัดให้ผมไม่ได้ เกี่ยวกับอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน ทั้ง ๔ อิริยาบถนี้ท่านอาจารย์ก็ได้อธิบายให้ทราบแล้วว่า ในขณะที่กำลังนั่ง มีรูปมีนามใดปรากฏขึ้นทางทวารทั้ง ๖ บ้าง ผมก็พอเข้าใจในเรื่องนี้ แต่พอมาดูในอิริยาบถบรรพเข้า ก็อดคลางแคลงไม่ได้ว่า ไฉนพระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติว่า เมื่อเดินอยู่ก็ดี ยืนอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี ก็รู้ชัดว่า เราเดิน เรายืน เรานั่ง เรานอน คล้ายๆ กับว่า ท่านจะให้รู้ว่ากำลังเดิน กำลังยืน กำลังนั่ง กำลังนอนอย่างนี้

    นี่ประการหนึ่ง และในอิริยาบถบรรพนี้เอง ท่านก็บอกไว้ในตอนท้ายว่า

    อนึ่ง เมื่อเธอนั้นเป็นผู้ตั้งกายไว้แล้วอย่างใดๆ จะตั้งกายไว้ในอิริยาบถใดๆ ก็ตาม ก็ย่อมรู้ชัดอาการกายนั้นอย่างนั้นๆ

    คำว่า อาการกายนี้ สงสัยว่า อาการกายนี้จะเป็นอย่างไร จะเป็นว่า ยืน เดิน นั่ง นอน นี้เป็นอาการของกาย หรือว่า อาการกายจะมีอย่างอื่นนอกจากนี้ นี่เป็นจุดหนึ่งที่ผมยังไม่เข้าใจชัด ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาชี้ให้ชัดลงไปด้วย

    สุ . สติระลึกรู้ลักษณะที่ปรากฏที่กายนั้นเอง รู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่ง ตึง ไหวที่ปรากฏ ต้องรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงในลักษณะของรูปนั้นๆ บางท่านอาจจะเข้าใจว่าท่านรู้แล้ว แต่ท่านรู้ผิดได้ ถ้าไม่รู้ตรงตามปกติ ตามความเป็นจริงอย่างนี้

    ถ. สรุปได้ว่า อาจารย์ชี้แจงให้ทราบว่า การรู้รูปนามในขณะที่กายนั้นอยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่ง จะเป็นอิริยาบถยืนก็ตาม นอนก็ตาม นั่งก็ตาม หรือว่าอย่างอื่นก็ตาม ก็รู้รูปนามในขณะที่อยู่ในอิริยาบถนั้นๆ จะเป็นอะไรก็สุดแล้วแต่ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอีก เพราะบางท่านบอกว่า ให้รู้รูปทั้งกลุ่ม และอาการของรูปทั้งกลุ่ม เป็นอาการนั่ง นอน ยืน เดิน คือ ให้รู้วิการรูป หรือรู้วิญญัติรูป ทีนี้ทั้ง ๒ ประเภทนี้เท่าที่ศึกษามาก็เป็นสุขุมรูปทั้งนั้น ไม่สามารถที่จะรู้ได้ นี่ก็จุดหนึ่ง

    อีกจุดหนึ่ง คือ ท่านอธิบายว่า รู้เพียงอาการนั่ง หรือว่ายืน หรือว่านอน อย่างใดอย่างหนึ่งก็พอ ก็สามารถจะให้รู้รูปนามตามความเป็นจริงได้แล้ว ผมก็สงสัยว่า รู้เพียงรูปนั่งอย่างนี้แล้วจะรู้อะไร เพราะลักษณะก็ไม่ได้ปรากฏอย่างที่อาจารย์กรุณาชี้ให้เห็นเมื่อสักครู่นี้ ไม่มีลักษณะอะไรที่ปรากฏออกมาเลย นอกจากนั่งแล้วก็โงกหลับไปเท่านั้นเอง ผมพยายามทำความเข้าใจในเรื่องนี้เพื่อจะได้ไม่สับสนในเรื่องของการปฏิบัติ ขอความกรุณาอาจารย์ด้วยครับ

    สุ . ในพระไตรปิฎกไม่มีรูปนั่ง ไม่มีรูปนอน ไม่มีรูปยืน ไม่มีรูปเดินในรูป ๒๘ รูปเลย รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานก็ได้แก่มหาภูตรูป ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ถ้าไม่มีมหาภูตรูป อุปาทายรูปทั้ง ๒๔ รูปจะมีไม่ได้เลย อุปาทายรูปเป็นรูปที่อาศัยเกิดกับมหาภูตรูปบ้าง หรือเป็นอาการอ่อน อาการเบา อาการควรแก่การงานของมหาภูตรูปบ้าง

    อย่างเช่น ทองแข็งๆ พอไปถูกไฟเข้าก็อ่อน วิการรูปก็ฉันนั้น เป็นลักษณะอาการของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่บางครั้งเกิดจากจิต บางครั้งเกิดจากอาหาร บางครั้งเกิดจากอุตุ มีความเบา มีความอ่อน มีความควรแก่การงาน แต่ไม่ใช่แยกออกไปจากมหาภูตรูปเลย เป็นอาการของมหาภูตรูป (แม้ทองจะเปลี่ยนสภาพเป็นอ่อน แต่ทองก็ไม่มีวิการรูป เพราะวิการรูป ๓ เป็นรูปที่เกิดภายในสัตว์บุคคลเท่านั้น) [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 106]

    ถ. ที่ท่านกล่าวถึงวิการรูป ท่านอาจจะหมายถึงว่า รูปทั้งหมดที่ประชุมรวมกันอยู่นี้ เพราะวิการรูปนี้เองจึงทำให้รูปนี้สามารถจะทรงอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง คือ เดิน นั่ง นอน หรือยืนอย่างนี้เป็นต้น จะถูกต้องไหมครับ

    สุ . เก้าอี้ก็อยู่ในท่านั่งหรือรูปนั่ง มีวิการรูปไหม ไม่มี เพราะฉะนั้น เป็นผู้รู้ลักษณะของรูปที่ต่างกันว่า ธาตุดินบางส่วนไม่มีความเบา ไม่มีความอ่อน ไม่มีความควรแก่การงาน มหาภูตรูปส่วนใดไม่มีลักษณะที่อ่อน ที่เบา ที่ควร เป็นการรู้ชัดในลักษณะของมหาภูตรูป เคยเข้าใจยึดถือรูปที่ประชุมรวมกันทรงอยู่ในท่าหนึ่งท่าใด แต่ว่าในนามรูปปริจเฉทญาณนั้นมีลักษณะของรูปแต่ละรูปที่ปรากฏแต่ละลักษณะ แล้วแต่ว่าผู้นั้นจะประจักษ์ลักษณะของนามกี่ชนิด รูปกี่ชนิด สืบต่อกันทีละ ๑ ชนิด เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังควรจะคิดเป็นขั้นๆ ว่า ท่านรู้รูปรู้นามถูกต้องตามลักษณะของรูป ถูกต้องตามลักษณะของนามหรือไม่

    รูปนั่ง ไม่มีอาการของรูปปรากฏที่จะให้ละคลายการยึดถือว่าเป็นตัวตน เพราะถ้าประชุมรวมกันอยู่ ทรงอยู่ ตั้งอยู่ จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดินก็ตาม ก็ยังคงเป็นตัวตน ปัญญาที่จะละการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตนได้นั้น ปัญญาจะต้องรู้ลักษณะของนามลักษณะของรูปแต่ละชนิดซึ่งไม่เหมือนกันมากขึ้น เพิ่มขึ้น ชัดขึ้น ชินขึ้น ทั่วขึ้น

    รูปทางตาก็อย่างหนึ่ง ทางหูก็อย่างหนึ่ง ทางจมูกก็อย่างหนึ่ง ทางลิ้นก็อย่างหนึ่ง ทางกายก็อย่างหนึ่ง แล้วทำไมถึงจะไม่รู้ และเมื่อบังคับสติอย่างนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้รู้ลักษณะของนามรูปทั่ว ผู้ที่เจริญสตินั้นจะต้องรู้ว่า ขณะใดหลงลืมสติ ขณะใดมีสติ ไม่ใช่ไปทำให้จิตสงบเป็นสมาธิ เพราะถ้าเป็นโดยลักษณะนั้น จะรู้ลักษณะของสมาธิ แต่ไม่ใช่รู้ลักษณะที่ขณะใดมีสติ เป็นการเจริญสติตามปกติที่รู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 106]


    หมายเลข 13881
    5 ส.ค. 2568