ผู้ที่มีวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น


    ท่านผู้ฟังที่ยังไม่มั่นใจในผลของการเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ท่านอาจจะได้พบข้อความบางตอนที่แสดงว่า โสตาปัตติมรรคสงเคราะห์เป็นปฐมฌาน หรือประกอบด้วยองค์ของปฐมฌาน ก็อาจจะทำให้ท่านที่หวั่นไหวอยู่แล้วในเรื่องการเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน มีความโน้มเอียงไปว่า เมื่อโสตาปัตติมรรคจิตนั้นสงเคราะห์เป็นปฐมฌาน เพราะประกอบด้วยองค์ของปฐมฌาน ก็น่าที่จะไปสู่สถานที่หนึ่งสถานที่ใด เมื่อเกิดสมาธิ มีความสงบมากแล้ว จึงจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็น พระอริยเจ้าได้

    แต่ขอให้ท่านทราบว่า เรื่องของการที่จะละอนุสัยกิเลสนั้น เป็นเรื่องของปัญญาที่รู้ชัด พร้อมสติที่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดสืบต่อกันอย่างรวดเร็วเป็นปกติในขณะนี้เอง แต่ว่าความรู้ชัดที่เป็นวิปัสสนาญาณนั้น ไม่ใช่ความรู้ที่พึ่งเริ่มระลึกรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมบ้างบางนาม หรือว่าไม่ใช่ขณะที่สติพึ่งเริ่มระลึกรู้ลักษณะของรูปธรรมบ้างบางรูป ยังไม่ทั่วถึง ยังไม่ชัดเจน แต่เวลาที่เกิดสงบขึ้นนิดหนึ่ง ท่านก็มีความรู้สึกว่า ขณะนั้นท่านรู้ชัดแล้วในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม แต่ความจริงแล้ว ยังไม่ถึงนามรูปปริจเฉทญาณ เพราะเหตุว่าการปรากฏความรู้ชัดของวิปัสสนาญาณนั้น ต้องโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่โดยการตระเตรียมว่า จ้องให้ ดีๆ และความรู้ชัดในลักษณะของนามที่กำลังจดจ้องอยู่นั้นจะเกิด หรือว่าความรู้ชัดในลักษณะของรูปที่กำลังจดจ้องอยู่นั้นจะเกิด โดยลักษณะนั้นเป็นการทำ เป็นตัวตน

    และขณะที่ปัญญาที่สมบูรณ์ ที่เป็นวิปัสสนาญาณจริงๆ รู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม เพราะความมั่นคงของสติที่ไม่หวั่นไหว เพราะชินกับการพิจารณารู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งในขณะนั้น ผู้ที่ประกอบพร้อมด้วยวิปัสสนาญาณนั้นจะรู้ชัดว่า แม้นามรูปปริจเฉทญาณซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณแรก ขณะนั้นก็ประกอบด้วยสมาธิ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสมาธิเกิดร่วมด้วย ในขณะนั้น นั่นเพราะเหตุไร

    เพราะเหตุว่า ในขณะนั้นปัญญารู้ชัดในลักษณะของนามธรรมทีละหนึ่ง ลักษณะ ในลักษณะของรูปธรรมทีละหนึ่งลักษณะ ซึ่งการปรากฏโดยสภาพจริงๆ ปรากฏโดยสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้น ในขณะนั้น ผู้ที่มี วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นย่อมรู้ว่า แม้แต่วิปัสสนาญาณแรก คือ นามรูปปริจเฉทญาณ ก็ประกอบพร้อมด้วยสมาธิ นี่เป็นเพียงวิปัสสนาญาณแรก ซึ่งไม่เคยเกิดในสังสารวัฏฏ์ ที่จะไปเจาะจงเลือก รู้นามนั้น รูปนั้น จดจ้องรอคอยอยู่ นั่นไม่ใช่ลักษณะของนามรูปปริจเฉทญาณ และเป็นแต่เพียงตรุณวิปัสสนา

    แต่ความรู้ชัดที่สามารถรู้ในลักษณะของรูปธรรมทีละลักษณะ ก็ต้องเป็นรูปที่ละเอียด นามธรรมแต่ละลักษณะ ซึ่งสภาพของนามธรรมนั้นก็เป็นสภาพที่ละเอียดสุขุมยิ่งกว่ารูปธรรม เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นที่จะไม่ประกอบด้วยสมาธิ ไม่มี

    นี่เป็นแต่เพียงวิปัสสนาญาณแรก เพราะฉะนั้น เมื่อเจริญอบรมถึงความสมบูรณ์ของวิปัสสนาญาณจริงๆ ขั้นต่อไป คือ ปัจจยปริคหญาณ ความรู้ชัดในขณะนั้น ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เพราะว่าสามารถจะรู้ถึงปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งละเอียดด้วยในขณะนั้น ก็ต้องประกอบด้วยสัมมาสมาธิเป็นของที่แน่นอน และเมื่อบรรลุญาณสูงขึ้น ละเอียดขึ้น เป็นพลววิปัสสนา เป็นมหาวิปัสสนา จนกระทั่งถึง มรรคจิต ซึ่งการรู้แจ้งประจักษ์ในสภาพของนิพพานที่ละเอียดยิ่งกว่านามธรรมและรูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่สุขุมนั้น ที่จะไม่ประกอบด้วยสัมมาสมาธินั้น เป็นไม่มี

    สำหรับอัปปนาอารมณ์ ท่านผู้ฟังคงเคยได้ยินได้ฟังว่า เป็นเรื่องของการเจริญสมถภาวนาจนกระทั่งจิตสงบ เป็นสมาธิที่มั่นคง ประกอบพร้อมด้วยองค์ของฌาน คือ ประกอบด้วย วิตกเจตสิก วิจารเจตสิก ปีติเจตสิก เวทนา คือ สุขเวทนาเจตสิก และเอกัคคตาเจตสิก ซึ่งในขณะนั้น จิตแนบแน่นมากในอารมณ์ที่เป็นนิมิตถึงขั้นปฐมฌานเป็นอัปปนาสมาธิ

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่เจริญอบรมวิปัสสนาภาวนาจนกระทั่งมรรคจิตเกิด มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ก็ต้องประกอบพร้อมด้วยสมาธิ และพร้อมด้วยมรรคทั้ง ๘ องค์ ด้วยกำลังของวิปัสสนา

    ถ้าท่านผู้ฟังต้องการผล คือ ปัญญา จนสมบูรณ์ถึงขั้นที่เป็นพระอริยสาวก จริงๆ ต้องอบรมเจริญปัญญา เจริญสติ ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ จนกว่าวิปัสสนาญาณแต่ละขั้นจะปรากฏโดยสภาพความเป็นอนัตตา ซึ่งก็เพราะความสมบูรณ์ของเหตุ คือ การอบรมเจริญสติปัฏฐานและปัญญาจนรู้ชัดในสภาพของนามธรรมและรูปธรรม และละคลายการไม่รู้มากขึ้น [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 266]


    หมายเลข 13902
    10 ส.ค. 2568