โลภเจตสิกเป็นสมุทัยสัจ
โสภณสาธารณเจตสิกดวงต่อไปที่จะกล่าวถึง คือ อโลภเจตสิก โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ดวงนี้ จะต้องเกิดกับโสภณจิตทั้ง ๑๙ ดวง จะขาดโสภณสาธารณเจตสิกดวงหนึ่งดวงใดไม่ได้เลย และแต่ละดวงก็มีประโยชน์ มีความสำคัญ เห็นคุณประโยชน์ของโสภณสาธารณเจตสิกนั้นๆ ได้ว่า เป็นสิ่งที่ควรจะเจริญให้มั่นคงขึ้น
สำหรับอโลภเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับโลภเจตสิกซึ่งเป็นสมุทัยสัจ เพราะฉะนั้น จะเกิดยากไหม ในเมื่อโลภเจตสิกเกิดอยู่เป็นประจำและเป็นสมุทัยสัจด้วย แต่อโลภเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่เป็นโสภณะ เป็นสภาพที่ตรงกันข้าม ฉะนั้น กว่าจะฝืนกระแสของอกุศลคือโลภเจตสิกซึ่งเป็นสมุทัย และให้อโลภเจตสิกเจริญขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาโดยละเอียด เพราะโดยมากเวลากล่าวถึงอโลภะ ทุกคนก็คิดถึงเพียงการสละวัตถุเป็นทานเท่านั้น แต่อโลภะไม่ใช่ความติด ไม่ใช่สภาพธรรมที่ติดในอารมณ์ จึงต้องสละ ละทุกอย่างที่เป็นอกุศลธรรม แม้แต่ความเห็นผิดซึ่งแม้จะไม่ใช่สักกายทิฏฐิ คนที่มีความเชื่อมั่นในความเห็นของตัวเอง ยากต่อการที่จะพิจารณาว่า ในขณะนั้นที่เห็นอย่างนั้น ถูกหรือผิด เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล
แต่ถ้าเป็นอโลภะ จะไม่ติดในความเห็นที่ตนยึดถือไว้ว่าเป็นความเห็นถูก แต่จะพิจารณาด้วยศรัทธา ด้วยสติ ด้วยหิริ ด้วยโอตตัปปะ และละการติดในความเห็นซึ่งเคยเชื่อมั่นในความเห็นของตน ถ้าความเห็นนั้นผิดก็ละได้ นี่คือลักษณะของอโลภเจตสิก เพราะว่าเมื่อโลภเจตสิกเกิด จะเกิดกับโลภมูลจิต ๘ ดวง จะไม่เกิดกับจิตประเภทอื่นเลย และสำหรับโลภมูลจิต ๘ ดวง เป็นทิฏฐิคตสัมปยุตต์ เกิดร่วมกับความเห็นผิด ๔ ดวง เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ไม่เกิดร่วมกับความเห็นผิด ๔ ดวง ซึ่งในวันหนึ่งๆ จะเห็นได้ว่า อโลภเจตสิกย่อมเกิดน้อยกว่าโลภเจตสิก
สำหรับลักษณะ ๔ ของอโลภเจตสิก ข้อความใน โมหวิจเฉทนี มีว่า
อลัคคภาวลักขโณ เป็นสภาพที่ไม่ติดข้องในอารมณ์เป็นลักษณะ หรือ อเคธลักขโณ มีความไม่กำหนัดยินดีในอารมณ์เป็นลักษณะ เหมือนกับหยาดน้ำที่ ไม่ติดค้างอยู่บนใบบัวฉะนั้น
จะเห็นได้ว่า ลักษณะของโลภะตรงกันข้ามกับลักษณะของอโลภะ โลภะ ติด ยึด ไม่ปล่อยเลย ไม่ว่าจะเป็นรูปที่ปรากฏทางตา เสียงที่ปรากฏทางหู กลิ่นที่ปรากฏทางจมูก รสที่ปรากฏทางลิ้น โผฏฐัพพะที่กระทบกาย หรือแม้บัญญัติเรื่องราวที่คิดนึกต่างๆ ทางใจ วันหนึ่งๆ บางคนอาจจะคิดเพลินไป ฝันไป มีความสุขเพลิดเพลินไปกับความคิด นั่นก็เป็นลักษณะของความติด แต่ลักษณะของอโลภะนั้น เหมือนหยาดน้ำ ไม่ติดค้างอยู่บนใบบัว เมื่อกระทบอารมณ์แล้วก็ผ่านไป ไม่มีลักษณะที่ต้องการ ขวนขวาย ติดข้อง แสวงหาอารมณ์นั้น
อปริคคหรโส มีการไม่หวงแหนเป็นกิจ เหมือนภิกษุผู้พ้นแล้วฉะนั้น
ในขณะที่ไม่ต้องการ ไม่ติดข้องในอารมณ์ที่ปรากฏ ก็เหมือนกับภิกษุผู้พ้นแล้วจากกิเลสทั้งหลาย
อนัลลีนภาวปัจจุปัฏฐาโน มีความไม่ติดอยู่ในอารมณ์เป็นอาการปรากฏ เหมือนบุรุษตกลงไปในที่อันไม่สะอาดฉะนั้น
ยังอยากจะอยู่ที่นั่นไหม เหมือนบุรุษตกลงไปในที่อันไม่สะอาดฉะนั้น เพราะฉะนั้น ลักษณะอาการที่ปรากฏ คือ ไม่ติดอยู่ในอารมณ์ เป็นอาการปรากฏ
โยนิโสมนสิการ มีการทำไว้ในใจในอารมณ์โดยแยบคายเป็นเหตุใกล้
ถ . ลักษณะที่ปรากฏกับอาการที่ปรากฏ เกือบจะเหมือนกันเลย
สุ. แยกไม่ออกเลย เพราะไม่ว่าจะเป็นลักษณะอาการหนึ่งอาการใดที่ปรากฏให้รู้ คือ สภาพที่ไม่ติดข้อง ขณะนั้นก็เป็นลักษณะของอโลภะซึ่งกระทำกิจ ไม่ติดข้อง
ถ . ในชีวิตประจำวัน ผมว่าตัวนี้เป็นตัวร้ายมาก ติดแน่นเหนียว ไม่รู้จะติดขนาดไหน
สุ. เป็นสมุทัยสัจ แม้จะเกิดในอรูปพรหมภูมิก็ไม่พ้น ถ้ายังไม่เป็นพระอริยบุคคล ยังไม่ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท
อโลภเจตสิกเป็นโสภณเจตสิกที่เป็นมูลของกุศลธรรมทั้งหลาย ซึ่งใน อัฏฐสาลินี นิกเขปกัณฑ์ ขยายความกุศลบท มีข้อความว่า
ชื่อว่า กุศลมูล ด้วยอรรถว่า กุศลเหล่านั้นเป็นมูล หรือด้วยอรรถว่า ชื่อว่ามูล โดยความหมายว่า เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เป็นแดนเกิด เป็นสภาพให้เกิด เป็นสมุฏฐาน เป็นที่บังเกิดแห่งกุศลธรรมเหล่านั้น
สำหรับโสภณสาธารณเจตสิกทั้งหมดมี ๑๙ ดวง แต่ที่เป็นมูลมี ๓ ดวง คือ อโลภเจตสิก ๑ อโทสเจตสิก ๑ และปัญญาซึ่งเป็นอโมหเจตสิก ๑ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1584]
