สัมมสนรูป และ อสัมมสนรูป
ถ . ในอริยสัจ ๔ นี้ ทุกขอริยสัจ ท่านจำแนกเป็นโลกียจิต ๘๑ ประเภท เจตสิก ๕๑ ประเภท เป็นรูปทั้งหมด ๒๘ และท่านกล่าวว่าทุกขสัจนี้ควรกำหนดรู้ แต่การเจริญสติปัฏฐาน เว้นรูป ๑๐ รูป ไม่ครบ ๒๘ รูป เจริญสติปัฏฐานได้เพียง ๑๘ รูปเท่านั้น อย่างนี้จะไม่ค้านกันหรือ
สุ . รูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป เป็นสัมมสนรูป ๑๘ คือ รูปที่ควรแก่การพิจารณา ส่วนอีก ๑๐ รูปนั้น ไม่ใช่รูปที่ควรแก่การพิจารณา แต่เป็นรูปที่รู้ได้
รูปที่ควรแก่การพิจารณาทางตา คือ สีสันวัณณะที่กำลังปรากฏ เสียงปรากฏทางหู กลิ่นปรากฏทางจมูก รสปรากฏทางลิ้น โผฏฐัพพะ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหวปรากฏที่กาย เป็นรูปที่มีลักษณะปรากฏอยู่ตลอดเวลา จึงควรแก่การพิจารณา เพราะว่าสภาพของรูปนั้นเป็นอนัตตา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ที่จะไม่ให้ปรากฏนั้นไม่ได้ ที่จะไม่ให้เกิดขึ้นปรากฏไม่ได้ ทั้งสี ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโผฏฐัพพะ ลืมตาขึ้นมา ใครจะบังคับไม่ให้สีปรากฏไม่ได้ แสดงความเป็นอนัตตาของรูปธรรม เสียงปรากฏแล้ว ใครจะยับยั้งไม่ให้เสียงปรากฏก็ไม่ได้ ลักษณะของเสียงเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น จึงควรพิจารณารูปที่มีปรากฏโดยความเป็นอนัตตา โดยไม่ต้องไปเจาะจง ไปแสวงหาอื่น โดยที่ไม่ระลึกรู้ลักษณะของรูปธรรมที่ปรากฏ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าในขณะที่ปัญญารู้ชัดในสภาพธรรม คือ รูปธรรมที่ปรากฏ จะเป็นรูปสี รูปเสียง รูปกลิ่น รูปรส รูปโผฏฐัพพะ หรือสัมมสนรูปอื่นอีก ทั้งหมดรวม ๑๘ รูป และยังจะรู้ถึงลักษณะของรูปที่ไม่ใช่รูปที่ควรแก่การพิจารณาด้วย เช่น ลักษณะที่เกิดขึ้นและดับไปของรูป แต่ถ้าไม่พิจารณาสีที่กำลังปรากฏ ไม่พิจารณาระลึกรู้เสียงที่กำลังปรากฏ แล้วจะไปรู้การเฉพาะเกิดขึ้นแล้วดับไปของอะไร
ลักษณะการเกิดดับ คือ อุปจย การเกิดขึ้น สันตติ การที่รูปเจริญขึ้น ชรตาการเสื่อม อนิจจตา ลักษณะที่ดับของรูปธรรมที่เป็นสัมมสนรูป
ต้องรู้สัมมสนรูป ต้องพิจารณาสัมมสนรูป และจะรู้ถึงรูปอื่นด้วย คือ การเกิดขึ้น ลักษณะที่เกิดขึ้น ลักษณะที่ดับไปของรูปนั้น แต่ไม่ใช่ว่า ไม่รู้ลักษณะของรูปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จะไปหาลักษณะเกิดดับของรูปอะไร ก็ไม่ได้
เมื่อรูปปรากฏ เช่น โผฏฐัพพารมณ์ที่กำลังปรากฏทางกาย ถ้าปัญญารู้ชัด ประจักษ์ในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน รู้ลักษณะของรูปที่เป็นสัมมสนรูป และการที่พิจารณาสัมมสนรูปนั่นเอง เวลาที่แทงตลอดในสภาพธรรมนั้น ก็ทำให้รู้รูปปรมัตถ์อื่นที่เป็น อสัมมสนรูปด้วย แต่ไม่ใช่ไปพิจารณาอสัมมสนรูปให้เกิดความรู้ขึ้น
ถ้าจะพิจารณาโผฏฐัพพารมณ์ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลมที่ปรากฏ บางส่วนลักษณะของธาตุดินเป็นแต่เพียงลักษณะที่กระด้าง แต่ถ้าปัญญาสามารถที่จะรู้ชัด เป็นผู้ที่อบรมอินทรีย์ที่จะรู้สภาพธรรมที่ละเอียด ลักษณะของธาตุดินที่ต่างกัน ระหว่างธาตุดินที่มีลักษณะหยาบกระด้าง กับธาตุดินที่อ่อนที่ควรแก่การงานที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ก็รู้ถึงลักษณะที่ต่างกันด้วย แต่การรู้ลักษณะที่อ่อนที่ควรแก่การงานของธาตุดินนั้น ต้องรู้ทางมโนทวารไม่ใช่รู้ทางกายทวาร
สำหรับทางกายทวาร ปรากฏลักษณะของธาตุดินที่เป็นลักษณะที่อ่อนหรือแข็งแต่ว่าในขณะที่ลักษณะนั้นปรากฏ ความรู้ชัดถึงความพิเศษของความวิการของธาตุดินในขณะนั้น รู้ถึงสภาพที่เบา ที่อ่อน ที่ควรแก่การงานทางมโนทวาร ในเมื่อทาง ปัญจทวารกำลังรู้ลักษณะของธาตุดินนั้น ทางมโนทวารก็รู้ชัดในสภาพลักษณะที่เบา ที่อ่อน ที่ควรแก่การงานของธาตุดินที่ปรากฏทางกายทวารนั้นด้วย
ถ . ... (ไม่ได้ยินชัด)
สุ . ความละเอียด ความเป็นสุขุมรูป แต่ไม่ใช่หมายความว่าไม่ใช่รูปปรมัตถ์ เป็นรูปปรมัตถ์ แต่จะรู้ได้เพราะรู้สัมมสนรูปก่อน และรู้ตรงตามความเป็นจริงถ้ารู้ในลักษณะที่เป็นธาตุดินทางกาย ทางใจที่จะรู้ในความวิการ ความเบา ความอ่อน ความควรของธาตุดิน จะรู้ชัดในลักษณะของธาตุดินที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ใช่เป็นท่าทาง
การรู้ชัดต้องรู้ทีละลักษณะ เพราะมโนทวารวิถีเกิดคั่น ซึ่งสามารถที่จะรับรู้ประจักษ์แจ้งในลักษณะของรูปธรรม และนามธรรมทั้งปวงทางมโนทวารได้ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 260]
