เรื่องชฎิล ๓ พี่น้อง


    ชีวิตของพระผู้มีพระภาคเป็นชีวิตที่ดำเนินไปเป็นปกติ ต้องมีการกระทำกิจการ งานต่างๆ และตัวอย่างที่จะแสดงให้เห็นว่า แม้พระผู้มีพระภาคเองนั้นก็ยังทรงกระ ทำกิจตามปกติในชีวิตประจำวัน จะขอกล่าวถึง พระวินัยปิฎก มหาวรรคภาค ๑ ขอกล่าวถึงตอนที่ทรงโปรดชฎิลให้เลื่อมใส ( เรื่องชฎิล ๓ พี่น้อง ข้อ ๓๗ ) เพื่อประกอบความรู้ความเข้าใจ จะขอกล่าวตั้งแต่ต้น

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษาประทับอยู่ที่พระนครพาราณสี ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่ตำบลอุรุเวลา เมื่อเสด็จจาริกตามลำดับถึงตำบลอุรุเวลาแล้ว

    สมัยนั้น ชฎิล ๓ คน คือ อุรุเวลกัสสปะ ๑ ซึ่งเป็นหัวหน้าชฎิล ๕๐๐ คน นทีกัสสปะ เป็นหัวหน้าชฎิล ๓๐๐ คยากัสสปะ เป็นหัวหน้าชฎิล ๒๐๐

    พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่อาศรมของชฎิลชื่อ อุรุเวลกัสสปะ ทรงขออาศัยอยู่ในโรงบูชาเพลิงสักคืนหนึ่ง (พวกชฏิลพวกนี้เป็นพวกที่บูชาไฟ)

    ซึ่งอุรุเวลกัสสปะก็ไม่ขัดข้อง แต่เกรงว่าพญานาคพิษร้ายจะทำให้พระผู้มีพระภาคลำบาก พระผู้มีพระภาคก็ทรงปราบพญานาคซึ่งอยู่ในโรงบูชาไฟนั้น โดยบันดาล ไฟต้านทานไฟของพญานาค ในคืนนั้นโรงบูชาเพลิงรุ่งโรจน์เป็นเปลวเพลิงดุจไฟไหม้

    พระผู้มีพระภาคทรงขดพระยานาคไว้ในบาตร ครั้นผ่านราตรีนั้น ทรงแสดงพญานาคนั้นแก่อุรุเวลกัสสปะ ซึ่งอุรุเวลกัสสปะเมื่อเห็นอย่างนั้นก็คิดว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่

    อุรุเวลกัสสปะเลื่อมใสในปาฏิหาริย์ของพระผู้มีพระภาค ทูลนิมนต์ให้ประทับอยู่ แล้วกราบทูลว่า จะบำรุงพระผู้มีพระภาคด้วยภัตตาหารเป็นประจำ

    ขอให้คิดถึงความคิดของอุรุเวลกัสสปที่แม้จะได้เห็นปาฏิหาริย์ แต่ก็คิดว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่

    ข้อนี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า การที่จะเป็นพระอรหันต์นั้นไม่ใช่เป็นได้ด้วยการที่มีอิทธิปาฏิหาริย์มากๆ แล้วก็เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น อุรุเวลกัสสปะที่ไม่เชื่อง่ายๆ ก็ดี คือ ไม่ได้เห็นว่าผู้ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์สามารถจะละกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้ แต่เพราะเหตุว่าธรรมเป็นของที่ลึกซึ้งมาก ทั้งๆ ที่อุรุเวลกัสสปะไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย แต่ก็เข้าใจว่าตนเองที่ได้บำเพ็ญเพียร ได้เป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะได้เห็นปาฏิหาริย์ของพระผู้มีพระภาค ก็คิดว่าพระผู้มีพระภาคมีฤทธิ์มาก แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่

    คนที่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็เข้าใจว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ และก็ไม่รู้ว่าผู้ที่เป็นพระอรหันต์นั้นเป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะเหตุว่ายังไม่ทราบข้อประพฤติปฏิบัติที่จะให้หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 53

    พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ของอุรุเวลกัสสปะ พระองค์ประทับ ณ ไพรสนฑ์ ไม่ไกลอาศรมชฎิลอุรุเวลกัสสปะ ตอนกลางคืนหลังปฐมยาม ท้าวมหาราชทั้ง ๔ (คือ เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา) ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เปล่งรัศมีงาม ทำให้ป่าทั้งสิ้นสว่างไสว ยืนเฝ้าพระผู้มีพระภาคทั้ง ๔ ทิศ

    ซึ่งตอนเช้า อุรุเวลกัสสปะก็ได้ไปเฝ้าทูลว่า ถึงเวลาภัตตาหารเสร็จแล้ว แล้วก็ได้กราบทูลถามว่า พวกนั้นเป็นใคร คือ พวกที่มาเฝ้าในเวลากลางคืนเปล่งรัศมีงาม ทำให้ป่าทั้งสิ้นสว่างไสว

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มาเฝ้าพระองค์เพื่อฟังธรรม ซึ่งอุรุเวลกัสสปะก็คิดว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก แม้ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ก็ยังมาเฝ้าฟังธรรม แต่ว่าคงไม่เป็นอรหันต์เหมือนเราแน่

    ในคืนต่อไป ท้าวสักกะ คือ พระอินทร์ ก็ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคหลังปฐมยามเปล่งรัศมีงาม ทำให้ป่าทั้งสิ้นสว่างไสว

    ซึ่งในตอนเช้า อุรุเวลกัสสปะก็ได้ไปเฝ้ากราบทูลว่า ถึงเวลาภัตตาหารเสร็จแล้ว แล้วก็ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ผู้นั้นเป็นใครที่ได้มาเฝ้าหลังปฐมยามเปล่งรัศมีงาม ทำให้ป่าทั้งสิ้นสว่างไสว

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ท้าวสักกะมาเฝ้าเพื่อฟังธรรม อุรุเวลกัสสปะก็ยังคิดอย่างเดิม คือ ยังคิดว่าพระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก แม้ท้าวสักกะก็มาเฝ้าเพื่อฟังธรรม แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่

    ในคืนต่อไป หลังปฐมยาม ท้าวสหัมบดีพรหมก็ได้มาเฝ้าพระผู้มีพระภาค เปล่งรัศมีงาม ทำให้ป่าทั้งสิ้นสว่างไสว

    ตอนเช้า อุรุเวลกัสสปะก็ได้ไปเฝ้ากราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ถึงเวลาภัตตาหารเสร็จแล้ว แล้วก็ได้กราบทูลถามว่า ผู้ที่ได้เปล่งรัศมีงามทำให้ป่าทั้งสิ้นสว่างไสวเมื่อคืนนั้นเป็นใคร

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ท้าวสหัมบดีพรหมมาเฝ้าพระองค์เพื่อฟังธรรม อุรุเวลกัสสปะก็คิดว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่

    นี่เป็นเรื่องที่ผู้ที่เข้าใจว่า ตนเองเป็นพระอรหันต์ ผู้อื่นถึงจะมีฤทธิ์สักเท่าไรก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนตน

    ปาฏิหาริย์ที่ ๕ ชฎิลอุรุเวลกัสสปะเตรียมการบูชายัญเป็นการใหญ่ ประชาชนชาวอังคะและมคธทั้งสิ้นก็ได้ถือของเคี้ยวของบริโภคเป็นอันมาก บ่ายหน้ามุ่งไปหาชฎิลอุรุเวลกัสสปะ ซึ่งอุรุเวลกัสสปะก็คิดว่า ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงปาฏิหาริย์ ลาภสักการะของตนก็จะเสื่อมไป เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคทรงมีปาฏิหาริย์มาก มีฤทธิ์มาก เพราะฉะนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปะก็คิดในใจว่า ทำไฉนวันรุ่งขึ้น พระผู้มีพระภาคจึงจะไม่เสด็จมาฉัน

    ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ทรงทราบจิต ทรงทราบความคิดของชฎิล พระองค์จึงได้เสด็จไปที่อุตตรกุรุทวีป ทรงนำบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีป แล้วเสวยที่ริมสระอโนดาต ประทับกลางวันอยู่ ณ ที่นั้น

    วันรุ่งขึ้น ชฎิลก็ได้ไปเฝ้าแล้วกราบทูลถามว่า ทำไมพระองค์ไม่เสด็จไปรับ ภัตตาหาร

    ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า เพราะเหตุว่าอุรุเวลกัสสปะคิดเช่นนั้นๆ พระผู้มีพระภาคจึงไม่ได้เสด็จไปรับภัตตาหาร ซึ่งชฎิลอุรุเวลกัสสปะก็คิดว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่

    นี่แสดงให้เห็นเหตุการณ์ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงพบปะกับชฏิล แม้พระผู้มีพระภาคก็ยังทรงกระทำกิจการงาน หรือแม้พระผู้มีพระภาคก็ยังต้องทรงดำรงชีวิตเป็นปกติประจำวัน เพราะเหตุว่าเมื่อยังไม่ปรินิพพาน ก็ยังต้องบริหารรักษาพระองค์ มีกิจการงานที่จะต้องกระทำคือ เรื่องของผ้าบังสุกุลมีข้อความว่า

    ก็โดยสมัยนั้น ผ้าบังสุกุลบังเกิดมีแต่พระผู้มีพระภาค จึงพระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า เราจะพึงซักผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ

    ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมทวยเทพ ทรงทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยพระทัยของพระองค์ จึงขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์ แล้วทูลขอให้พระผู้มีพระภาคโปรดทรงซักผ้าบังสุกุลในสระนี้

    ทีนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า เราพึงจะขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ

    ลำดับนั้น ท้าวสักกะทรงทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาค ได้ยกศิลาแผ่นใหญ่มาวาง พลางทูลขอให้พระผู้มีพระภาคทรงขยำผ้าบังสุกุลบนแผ่นศิลาแผ่นนี้

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า เราจะพึงพาดผ้าบังสุกุลไว้ ณ ที่ไหนหนอ

    ครั้งนั้น เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นกุ่มบก ทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยใจของตน จึงน้อมกิ่งกุ่มลงมาพลางกราบทูลว่า ขอให้พระผู้มีพระภาคโปรดทรงพาดผ้าบังสุกุลไว้ที่กิ่งกุ่มนี้

    ครั้งนั้น พระผู้พระภาคทรงพระดำริว่า เราจะผึ่งผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ

    ครั้งนั้น ท้าวสักกะทรงทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาค ได้ยกศิลา แผ่นใหญ่มาวางไว้ พลางกราบทูลขอให้พระผู้มีพระภาคโปรดทรงผึ่งผ้าบังสุกุลบนศิลาแผ่นนี้

    หลังจากนั้นรุ่งเช้า ชฎิลอุรุเวลกัสสปะก็ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทูลว่า ถึงเวลาแล้วมหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว เพราะเหตุไรหนอมหาสมณะ เมื่อก่อนสระนี้ไม่มีที่นี่ เดี๋ยวนี้มีสระอยู่ที่นี่ เมื่อก่อนศิลาเหล่านี้ ไม่มีวางอยู่ ใครยกศิลาเหล่านี้มาวางไว้ เมื่อก่อนกิ่งกุ่มบกต้นนี้ไม่น้อมลง เดี๋ยวนี้กิ่งนั้นน้อมลง

    พระผู้มีพระภาคก็ตรัสเรื่องทั้งหมดให้ชฎิลได้ทราบ ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปะ ได้ดำริว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับท้าวสักกะจอมเทพได้ทำการช่วยเหลือ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสปะ แล้วประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้น

    นี่ก็เป็นเรื่องที่ให้เห็นว่า แม้พระผู้มีพระภาคก็มีกิจที่จะต้องทรงกระทำ

    พระผู้มีพระภาคได้ทรงกระทำปาฏิหาริย์อีกหลายอย่าง เช่น ให้ชฎิลไปก่อนแล้วพระผู้มีพระภาคตามไปทีหลัง ไปเก็บผลหว้า แต่ปรากฏว่าพระผู้มีพระภาคไปถึงก่อน ชฎิลก็อัศจรรย์ใจที่ตนได้ไปก่อน แต่เหตุไฉนพระผู้มีพระภาคจึงได้ไปถึงที่นั่นก่อน

    นอกจากนั้นก็มีเรื่องในทำนองเดียวกัน คือ เรื่องของปาฏิหาริย์เก็บผลมะม่วง มะขามป้อม สมอ ดอกปริฉัตตกะ และปาฏิหาริย์ผ่าฟืน ซึ่งพวกชฎิลก็เคยผ่าฟืนได้เป็นประจำ แต่เวลาที่พระผู้มีพระภาคทรงกระทำปาฏิหาริย์ พวกชฏิลผ่าฟืนนั้นเท่าไรก็ผ่าไม่ได้ จนกระทั้งพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ผ่าได้ ชฎิลจึงผ่าฟืนได้

    พระผู้มีพระภาคทรงกระทำปาฏิหาริย์ให้ชฎิลก่อไฟติด ซึ่งก่อนนั้นชฎิลก็ก่อไฟเป็นประจำ แต่ว่าวันนั้นก่อไม่ติด จนกระทั่งพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาต ชฎิลจึงได้ก่อไฟติด

    ทรงกระทำปาฏิหาริย์ให้ชฎิลดับไฟได้ เมื่อชฎิลก่อไฟแล้วก็จะดับไฟ แต่ว่าดับเท่าไรก็ไม่ดับ จนกระทั่งพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ชฎิลดับไฟได้ จึงได้ดับได้

    และเวลาที่พวกชฎิลพากันดำผุดดำว่ายในแม่น้ำเนรัญชราในราตรีหนาว ในเหมันตฤดู ระหว่างท้ายเดือน ๓ และต้นเดือน ๔ ในสมัยน้ำค้างตก พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงเนรมิตกองไฟไว้ให้พวกชฎิลผิง ๕๐๐ กอง ซึ่งพวกชฎิลก็ได้เห็นอานุภาพ ได้เห็นความเป็นผู้มีฤทธิ์มาก อานุภาพมากของพระผู้มีพระภาค

    นอกจากนั้นก็ยังทรงกระทำปาฏิหาริย์น้ำท่วม เมื่อมีน้ำท่วม พระผู้มีพระภาคทรงบันดาลให้ไม่ท่วมที่ประทับ และทรงจงกรมอยู่บนภาคพื้นที่มีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลางแสดงให้เห็นว่า ไม่มีน้ำเข้าไปกล้ำกรายเลยในที่ประทับของพระผู้มีพระภาค

    พวกชฎิลอุรุเวลกัสสปะกลัวพระผู้มีพระภาคจะถูกน้ำพัดพาไป ก็เอาเรือไปรับ พระผู้มีพระภาคก็ทรงเหาะขึ้นปรากฏที่เรือ ซึ่งพวกชฎิลก็คิดว่าพระมหาสมณะนี้มีฤทธิ์ มาก มีอานุภาพมากแท้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่

    ซึ่งในที่สุดวิธีที่จะให้ชฎิลรู้ว่า ตนเองไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ไม่มีวิธีอื่น นอกจากบอกตรงๆ ทีเดียว

    พระผู้มีพระภาคตรัสกับชฎิลว่า ชฎิลไม่ใช่อรหันต์ ซึ่งก็ทำให้ชฎิลได้รู้สึกตน แล้วก็ขอบวช ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ตรัสกับอุรุเวลกัสสปะว่า ให้ไปบอกพวกศิษย์เสียก่อน ซึ่งเวลาที่ชฎิลไปบอกพวกศิษย์นั้น ศิษย์ชฎิลทั้งหมดก็ได้กราบเรียนชฎิลว่า

    พวกข้าพเจ้าเลื่อมใสยิ่งในพระมหาสมณะมานานแล้ว ถ้าท่านอาจารย์จะประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ พวกข้าพเจ้าทั้งหมดก็จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะเหมือนกัน

    นี่ก็เป็นเรื่องของอาจารย์กับศิษย์ ซึ่งอาจารย์ก็เป็นที่เคารพเป็นที่เลื่อมใสของศิษย์ เพราะฉะนั้น อาจารย์ประพฤติปฏิบัติอย่างไร ศิษย์ก็จะประพฤติปฏิบัติอย่างนั้น ถึงแม้ว่าบรรดาศิษย์ของชฎิลได้มีความเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ประกาศความเลื่อมใส จนกระทั่งอุรุเวลกัสสปะชฎิลซึ่งเป็นอาจารย์ของตนนั้นได้ประกาศก่อน

    เป็นเรื่องที่ให้เห็นว่า แม้พระผู้มีพระภาคก็มีกิจที่จะทรงกระทำ เพราะฉะนั้น ทุกคนตามธรรมดาวันหนึ่งๆ มีกิจที่จะต้องกระทำ ก็ควรเจริญกุศล และกุศลที่เจริญได้ทุกขณะ คือ การเจริญสติปัฏฐาน เมื่อมีการระลึกได้ พิจารณาสิ่งที่กำลังปรากฏทันทีเพื่อให้ปัญญารู้ชัด ถ้ามีสติจะทราบได้ว่า ขณะที่กำลังนั่งอยู่นี้มีสภาพธรรมตั้งหลายชนิดที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับแต่ละอย่างๆ ทางตาก็อย่างหนึ่ง ทางหูก็อย่างหนึ่ง ทางใจก็อีกอย่างหนึ่ง แต่จะรู้ชัดได้ก็ต่อเมื่อมีสติ เจริญสติมากขึ้น รู้ชัดขึ้น ละความไม่รู้มากขึ้น

    เพราะฉะนั้น ไม่จำกัดว่าจะเป็นขณะไหน สถานที่ใด เพราะเหตุว่าสตินั้นก็เป็นอนัตตา ในเรื่องของกิจการงาน ถ้าได้กล่าวถึงชีวิตของบรรพชิตพระภิกษุทั้งหลาย จะทำให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้น เพราะเหตุว่าพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงบัญญัติแล้วไม่เป็นเครื่องกั้น ไม่เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญสติปัฏฐาน ถ้าทำกิจการงานนั้นๆ แล้วเจริญสติปัฏฐานไม่ได้จะไม่ทรงอนุญาต แต่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ชีวิตจะต้องดำเนินไป พระผู้มีพระภาคก็ทรงเทศนาอนุเคราะห์ให้มีวิริยะ มีความเพียรที่จะเจริญสติ

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 54


    หมายเลข 13594
    14 พ.ค. 2568