นวกัมมิกสูตร


    อีกตัวอย่างหนึ่งใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค นวกัมมิกสูตร ที่ ๗ (ข้อ ๗๐๕ )

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ไพรสณฑ์แห่งหนึ่งในแคว้นโกศลสมัยหนึ่ง นวกัมมิกภารทวาชพราหมณ์ให้คนทำงานอยู่ในป่านั้น เขาได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งคู้บัลลังก์ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติไว้เฉพาะหน้า ที่โคนสาลพฤกษ์แห่งหนึ่ง ครั้นเห็นแล้วเขามีความคิดว่า เราให้คนทำงานอยู่ในป่านี้จึงยินดี ส่วนพระสมณะนี้ให้คนทำอะไรอยู่จึงยินดี

    ลำดับนั้น นวกัมมิกภารทวาชพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

    ข้าแต่ท่านภิกษุ ท่านทำงานอะไรหรือ จึงอยู่ในป่าสาลพฤกษ์ พระโคดมอยู่ในป่าผู้เดียว ได้ความยินดีอะไร

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    เราไม่มีกรณียกิจในป่าดอก เพราะเราถอนรากเหง้าป่าอันเป็นข้าศึกเสียแล้ว เราไม่มีป่ากิเลส ปราศจากลูกศร คือ กิเลส ละความกระสันเสียแล้ว จึงยินดีอยู่ผู้เดียวในป่า

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว นวกัมมิกภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

    ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิดไว้ บอกทางแก่คนหลง ส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจะมองเห็นรูปได้

    ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาค กับพระธรรม และ พระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

    ผู้ที่มีโชคดี คือ ได้พบพระผู้มีพระภาค แม้ว่าตนเองกำลังจะทำงานหรือว่าให้คนทำงานอยู่ในป่า จะเห็นได้ว่า คนที่อยู่ในป่านี้ไม่เหมือนกัน พระผู้มีพระภาคประทับนั่งขัดสมาธิ ดำรงพระสติเฉพาะหน้า แต่ว่านวกัมมิกภารทวาชพราหมณ์ทำงานอยู่ในป่า เวลาที่คนมีกิจการงานและมีความเพลิดเพลินยินดี ต้องการผลของงาน เพราะฉะนั้น ก็ทราบว่าที่ตนอยู่ในป่าในขณะนั้นมีความยินดีเพราะอะไร มีความยินดีเพราะได้ผลในการที่ให้คนทำงานให้ในป่า เพราะฉะนั้น เวลาที่เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งขัดสมาธิอยู่ในป่านั้น ก็เกิดความสงสัยว่า พระสมณะนี้ให้คนทำอะไรอยู่จึงยินดี

    นี่เป็นความคิดของคนโลภ คนโลภนั้นต้องมีผลตอบแทนที่เห็นจากการงาน จึงจะเกิดความยินดี เพราะฉะนั้น เวลาที่เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งขัดสมาธิ ก็ไม่เข้าใจว่า อะไรเป็นความยินดีที่ทำให้พระผู้มีพระภาคประทับนั่งคู้บัลลังก์อยู่ในป่านั้นได้ เพราะฉะนั้น คนอยู่ในป่าไม่เหมือนกัน เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    พระองค์ไม่มีกรณียกิจในป่า เพราะพระองค์ถอนรากเหง้าป่าอันเป็นข้าศึกเสียแล้ว ไม่มีป่ากิเลส ปราศจากลูกศร คือ กิเลส ละความกระสันเสียแล้ว จึงยินดีอยู่ผู้เดียวในป่า

    พระผู้มีพระภาคเป็นผู้ทรงยินดีการอยู่ป่า เพราะพระองค์ไม่ทรงมีกิเลสเลย ไม่ ใช่อยู่ด้วยความหวัง แต่คนอื่นเข้าไปในป่าด้วยความหวังหรือเปล่า ผู้ที่จะกระทำกิจการงานในป่าก็เข้าไปในป่าด้วยความหวัง คือ การที่จะกระทำการงานในป่า ส่วนบุคคลอื่นที่ยังมีกิเลสอยู่ ยังมีความหวังอย่างอื่น อาจจะไม่ใช่ความหวังในการงานก็ตาม แต่เข้าไปในป่าเพราะหวังอย่างอื่นได้ไหม

    ที่อยู่ป่ากันนี้ อยู่ด้วยความหวัง หวังต้องการอะไรสักอย่างหนึ่งจึงได้ไป หวังความสงบหรือว่าหวังอะไรก็แล้วแต่ นั่นก็ยังคงเป็นความหวัง แม้ว่าความหวังนั้นจะต่างกัน ไม่ใช่หวังกิจการงานอย่างนั้นก็ตาม แต่ว่าไม่ใช่อัธยาศัยจริงๆ ของผู้นั้น ที่ทำไปเพียงด้วยความหวังที่จะได้ผล

    การเจริญสตินั้นเพื่อการรู้ลักษณะของนามและรูปที่เกิดขึ้นแก่ตน ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยที่แต่ละคนได้สะสมมา ไม่ใช่ไปเปลี่ยนหรือว่าไปบังคับ หรือว่าไปด้วยความหวัง แต่ไม่ใช่อัธยาศัยจริงๆ ของผู้นั้น เพราะเหตุว่าไปด้วยความหวังและความหวังนั้นก็บังไว้ ทำให้ไม่รู้ลักษณะของนามและรูปที่เป็นปกติ

    เรื่องกิจการงาน กัมมปลิโพธคิดว่าจะเป็นเครื่องขัดขวางการเจริญสติไหม เกิดมาแล้วก็ต้องมีการงานกันทุกท่าน ไม่ใช่แต่เฉพาะการอาชีพ หลังจากการประกอบอาชีพกลับไปบ้าน ก็ดูได้ว่ามีกิจอะไรบ้างที่จะต้องกระทำกันเป็นชีวิตจริงๆ ของแต่ละคน


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 55


    หมายเลข 13598
    15 พ.ค. 2568