แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 54

พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ของอุรุเวลกัสสปะ พระองค์ประทับ ณ ไพรสนฑ์ ไม่ไกลอาศรมชฎิลอุรุเวลกัสสปะ ตอนกลางคืนหลังปฐมยาม ท้าวมหาราชทั้ง ๔ (คือ เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา) ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เปล่งรัศมีงาม ทำให้ป่าทั้งสิ้นสว่างไสว ยืนเฝ้าพระผู้มีพระภาคทั้ง ๔ ทิศ

ซึ่งตอนเช้า อุรุเวลกัสสปะก็ได้ไปเฝ้าทูลว่า ถึงเวลาภัตตาหารเสร็จแล้ว แล้วก็ได้กราบทูลถามว่า พวกนั้นเป็นใคร คือ พวกที่มาเฝ้าในเวลากลางคืนเปล่งรัศมีงาม ทำให้ป่าทั้งสิ้นสว่างไสว

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มาเฝ้าพระองค์เพื่อฟังธรรม ซึ่งอุรุเวลกัสสปะก็คิดว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก แม้ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ก็ยังมาเฝ้าฟังธรรม แต่ว่าคงไม่เป็นอรหันต์เหมือนเราแน่

ในคืนต่อไป ท้าวสักกะ คือ พระอินทร์ ก็ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคหลังปฐมยามเปล่งรัศมีงาม ทำให้ป่าทั้งสิ้นสว่างไสว

ซึ่งในตอนเช้า อุรุเวลกัสสปะก็ได้ไปเฝ้ากราบทูลว่า ถึงเวลาภัตตาหารเสร็จแล้ว แล้วก็ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ผู้นั้นเป็นใครที่ได้มาเฝ้าหลังปฐมยามเปล่งรัศมีงาม ทำให้ป่าทั้งสิ้นสว่างไสว

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ท้าวสักกะมาเฝ้าเพื่อฟังธรรม อุรุเวลกัสสปะก็ยังคิดอย่างเดิม คือ ยังคิดว่าพระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก แม้ท้าวสักกะก็มาเฝ้าเพื่อฟังธรรม แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่

ในคืนต่อไป หลังปฐมยาม ท้าวสหัมบดีพรหมก็ได้มาเฝ้าพระผู้มีพระภาค เปล่งรัศมีงาม ทำให้ป่าทั้งสิ้นสว่างไสว

ตอนเช้า อุรุเวลกัสสปะก็ได้ไปเฝ้ากราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ถึงเวลาภัตตาหารเสร็จแล้ว แล้วก็ได้กราบทูลถามว่า ผู้ที่ได้เปล่งรัศมีงามทำให้ป่าทั้งสิ้นสว่างไสวเมื่อคืนนั้นเป็นใคร

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ท้าวสหัมบดีพรหมมาเฝ้าพระองค์เพื่อฟังธรรม อุรุเวลกัสสปะก็คิดว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่

นี่เป็นเรื่องที่ผู้ที่เข้าใจว่า ตนเองเป็นพระอรหันต์ ผู้อื่นถึงจะมีฤทธิ์สักเท่าไรก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนตน

ปาฏิหาริย์ที่ ๕ ชฎิลอุรุเวลกัสสปะเตรียมการบูชายัญเป็นการใหญ่ ประชาชนชาวอังคะและมคธทั้งสิ้นก็ได้ถือของเคี้ยวของบริโภคเป็นอันมาก บ่ายหน้ามุ่งไปหาชฎิลอุรุเวลกัสสปะ ซึ่งอุรุเวลกัสสปะก็คิดว่า ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงปาฏิหาริย์ ลาภสักการะของตนก็จะเสื่อมไป เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคทรงมีปาฏิหาริย์มาก มีฤทธิ์มาก เพราะฉะนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปะก็คิดในใจว่า ทำไฉนวันรุ่งขึ้น พระผู้มีพระภาคจึงจะไม่เสด็จมาฉัน

ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ทรงทราบจิต ทรงทราบความคิดของชฎิล พระองค์จึงได้เสด็จไปที่อุตตรกุรุทวีป ทรงนำบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีป แล้วเสวยที่ริมสระอโนดาต ประทับกลางวันอยู่ ณ ที่นั้น

วันรุ่งขึ้น ชฎิลก็ได้ไปเฝ้าแล้วกราบทูลถามว่า ทำไมพระองค์ไม่เสด็จไปรับ ภัตตาหาร

ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า เพราะเหตุว่าอุรุเวลกัสสปะคิดเช่นนั้นๆ พระผู้มีพระภาคจึงไม่ได้เสด็จไปรับภัตตาหาร ซึ่งชฎิลอุรุเวลกัสสปะก็คิดว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่

นี่แสดงให้เห็นเหตุการณ์ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงพบปะกับชฏิล แม้พระผู้มีพระภาคก็ยังทรงกระทำกิจการงาน หรือแม้พระผู้มีพระภาคก็ยังต้องทรงดำรงชีวิตเป็นปกติประจำวัน เพราะเหตุว่าเมื่อยังไม่ปรินิพพาน ก็ยังต้องบริหารรักษาพระองค์ มีกิจการงานที่จะต้องกระทำคือ เรื่องของผ้าบังสุกุลมีข้อความว่า

ก็โดยสมัยนั้น ผ้าบังสุกุลบังเกิดมีแต่พระผู้มีพระภาค จึงพระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า เราจะพึงซักผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ

ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมทวยเทพ ทรงทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยพระทัยของพระองค์ จึงขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์ แล้วทูลขอให้พระผู้มีพระภาคโปรดทรงซักผ้าบังสุกุลในสระนี้

ทีนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า เราพึงจะขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ

ลำดับนั้น ท้าวสักกะทรงทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาค ได้ยกศิลาแผ่นใหญ่มาวาง พลางทูลขอให้พระผู้มีพระภาคทรงขยำผ้าบังสุกุลบนแผ่นศิลาแผ่นนี้

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า เราจะพึงพาดผ้าบังสุกุลไว้ ณ ที่ไหนหนอ

ครั้งนั้น เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นกุ่มบก ทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยใจของตน จึงน้อมกิ่งกุ่มลงมาพลางกราบทูลว่า ขอให้พระผู้มีพระภาคโปรดทรงพาดผ้าบังสุกุลไว้ที่กิ่งกุ่มนี้

ครั้งนั้น พระผู้พระภาคทรงพระดำริว่า เราจะผึ่งผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอ

ครั้งนั้น ท้าวสักกะทรงทราบพระดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาค ได้ยกศิลา แผ่นใหญ่มาวางไว้ พลางกราบทูลขอให้พระผู้มีพระภาคโปรดทรงผึ่งผ้าบังสุกุลบนศิลาแผ่นนี้

หลังจากนั้นรุ่งเช้า ชฎิลอุรุเวลกัสสปะก็ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทูลว่า ถึงเวลาแล้วมหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว เพราะเหตุไรหนอมหาสมณะ เมื่อก่อนสระนี้ไม่มีที่นี่ เดี๋ยวนี้มีสระอยู่ที่นี่ เมื่อก่อนศิลาเหล่านี้ ไม่มีวางอยู่ ใครยกศิลาเหล่านี้มาวางไว้ เมื่อก่อนกิ่งกุ่มบกต้นนี้ไม่น้อมลง เดี๋ยวนี้กิ่งนั้นน้อมลง

พระผู้มีพระภาคก็ตรัสเรื่องทั้งหมดให้ชฎิลได้ทราบ ครั้งนั้น ชฎิลอุรุเวลกัสสปะ ได้ดำริว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับท้าวสักกะจอมเทพได้ทำการช่วยเหลือ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของชฎิลอุรุเวลกัสสปะ แล้วประทับอยู่ในไพรสณฑ์ตำบลนั้น

นี่ก็เป็นเรื่องที่ให้เห็นว่า แม้พระผู้มีพระภาคก็มีกิจที่จะต้องทรงกระทำ

พระผู้มีพระภาคได้ทรงกระทำปาฏิหาริย์อีกหลายอย่าง เช่น ให้ชฎิลไปก่อนแล้วพระผู้มีพระภาคตามไปทีหลัง ไปเก็บผลหว้า แต่ปรากฏว่าพระผู้มีพระภาคไปถึงก่อน ชฎิลก็อัศจรรย์ใจที่ตนได้ไปก่อน แต่เหตุไฉนพระผู้มีพระภาคจึงได้ไปถึงที่นั่นก่อน

นอกจากนั้นก็มีเรื่องในทำนองเดียวกัน คือ เรื่องของปาฏิหาริย์เก็บผลมะม่วง มะขามป้อม สมอ ดอกปริฉัตตกะ และปาฏิหาริย์ผ่าฟืน ซึ่งพวกชฎิลก็เคยผ่าฟืนได้เป็นประจำ แต่เวลาที่พระผู้มีพระภาคทรงกระทำปาฏิหาริย์ พวกชฏิลผ่าฟืนนั้นเท่าไรก็ผ่าไม่ได้ จนกระทั้งพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ผ่าได้ ชฎิลจึงผ่าฟืนได้

พระผู้มีพระภาคทรงกระทำปาฏิหาริย์ให้ชฎิลก่อไฟติด ซึ่งก่อนนั้นชฎิลก็ก่อไฟเป็นประจำ แต่ว่าวันนั้นก่อไม่ติด จนกระทั่งพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาต ชฎิลจึงได้ก่อไฟติด

ทรงกระทำปาฏิหาริย์ให้ชฎิลดับไฟได้ เมื่อชฎิลก่อไฟแล้วก็จะดับไฟ แต่ว่าดับเท่าไรก็ไม่ดับ จนกระทั่งพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ชฎิลดับไฟได้ จึงได้ดับได้

และเวลาที่พวกชฎิลพากันดำผุดดำว่ายในแม่น้ำเนรัญชราในราตรีหนาว ในเหมันตฤดู ระหว่างท้ายเดือน ๓ และต้นเดือน ๔ ในสมัยน้ำค้างตก พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงเนรมิตกองไฟไว้ให้พวกชฎิลผิง ๕๐๐ กอง ซึ่งพวกชฎิลก็ได้เห็นอานุภาพ ได้เห็นความเป็นผู้มีฤทธิ์มาก อานุภาพมากของพระผู้มีพระภาค

นอกจากนั้นก็ยังทรงกระทำปาฏิหาริย์น้ำท่วม เมื่อมีน้ำท่วม พระผู้มีพระภาคทรงบันดาลให้ไม่ท่วมที่ประทับ และทรงจงกรมอยู่บนภาคพื้นที่มีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลางแสดงให้เห็นว่า ไม่มีน้ำเข้าไปกล้ำกรายเลยในที่ประทับของพระผู้มีพระภาค

พวกชฎิลอุรุเวลกัสสปะกลัวพระผู้มีพระภาคจะถูกน้ำพัดพาไป ก็เอาเรือไปรับ พระผู้มีพระภาคก็ทรงเหาะขึ้นปรากฏที่เรือ ซึ่งพวกชฎิลก็คิดว่าพระมหาสมณะนี้มีฤทธิ์ มาก มีอานุภาพมากแท้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่

ซึ่งในที่สุดวิธีที่จะให้ชฎิลรู้ว่า ตนเองไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ไม่มีวิธีอื่น นอกจากบอกตรงๆ ทีเดียว

พระผู้มีพระภาคตรัสกับชฎิลว่า ชฎิลไม่ใช่อรหันต์ ซึ่งก็ทำให้ชฎิลได้รู้สึกตน แล้วก็ขอบวช ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ตรัสกับอุรุเวลกัสสปะว่า ให้ไปบอกพวกศิษย์เสียก่อน ซึ่งเวลาที่ชฎิลไปบอกพวกศิษย์นั้น ศิษย์ชฎิลทั้งหมดก็ได้กราบเรียนชฎิลว่า

พวกข้าพเจ้าเลื่อมใสยิ่งในพระมหาสมณะมานานแล้ว ถ้าท่านอาจารย์จะประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ พวกข้าพเจ้าทั้งหมดก็จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะเหมือนกัน

นี่ก็เป็นเรื่องของอาจารย์กับศิษย์ ซึ่งอาจารย์ก็เป็นที่เคารพเป็นที่เลื่อมใสของศิษย์ เพราะฉะนั้น อาจารย์ประพฤติปฏิบัติอย่างไร ศิษย์ก็จะประพฤติปฏิบัติอย่างนั้น ถึงแม้ว่าบรรดาศิษย์ของชฎิลได้มีความเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ประกาศความเลื่อมใส จนกระทั่งอุรุเวลกัสสปะชฎิลซึ่งเป็นอาจารย์ของตนนั้นได้ประกาศก่อน

เป็นเรื่องที่ให้เห็นว่า แม้พระผู้มีพระภาคก็มีกิจที่จะทรงกระทำ เพราะฉะนั้น ทุกคนตามธรรมดาวันหนึ่งๆ มีกิจที่จะต้องกระทำ ก็ควรเจริญกุศล และกุศลที่เจริญได้ทุกขณะ คือ การเจริญสติปัฏฐาน เมื่อมีการระลึกได้ พิจารณาสิ่งที่กำลังปรากฏทันทีเพื่อให้ปัญญารู้ชัด ถ้ามีสติจะทราบได้ว่า ขณะที่กำลังนั่งอยู่นี้มีสภาพธรรมตั้งหลายชนิดที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับแต่ละอย่างๆ ทางตาก็อย่างหนึ่ง ทางหูก็อย่างหนึ่ง ทางใจก็อีกอย่างหนึ่ง แต่จะรู้ชัดได้ก็ต่อเมื่อมีสติ เจริญสติมากขึ้น รู้ชัดขึ้น ละความไม่รู้มากขึ้น

เพราะฉะนั้น ไม่จำกัดว่าจะเป็นขณะไหน สถานที่ใด เพราะเหตุว่าสตินั้นก็เป็นอนัตตา ในเรื่องของกิจการงาน ถ้าได้กล่าวถึงชีวิตของบรรพชิตพระภิกษุทั้งหลาย จะทำให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้น เพราะเหตุว่าพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงบัญญัติแล้วไม่เป็นเครื่องกั้น ไม่เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญสติปัฏฐาน ถ้าทำกิจการงานนั้นๆ แล้วเจริญสติปัฏฐานไม่ได้จะไม่ทรงอนุญาต แต่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ชีวิตจะต้องดำเนินไป พระผู้มีพระภาคก็ทรงเทศนาอนุเคราะห์ให้มีวิริยะ มีความเพียรที่จะเจริญสติ

เมื่อเป็นบรรพชิตแท้ๆ ท่านก็ยังมีกิจ ก็ลองเปรียบเทียบดูกับชีวิตฆราวาสว่าฆราวาสก็มีชีวิตอย่างนี้เหมือนกัน เจริญสติปัฏฐานได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเจริญไม่ได้

สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวหิตสูตร ที่ ๓ (ข้อ ๖๘๒) มีข้อความว่า

ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเชตวัน สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคประชวรด้วยโรคลม ท่านพระอุปวาณะเป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเรียกท่านพระอุปวาณะมาตรัสว่า

อุปวาณะ เธอจงรู้น้ำร้อนเพื่อฉัน

ท่านพระอุปวาณะทูลรับพระผู้มีพระภาค แล้วนุ่งสบง ถือบาตรและจีวร เข้าไปยังที่อยู่ของเทวหิตพราหมณ์ แล้วยืนนิ่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เทวหิตพราหมณ์ได้เห็นท่านพระอุปวาณะยืนนิ่งอยู่ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กล่าวกะท่านพระอุปวาณะ ด้วยคาถาว่า

ท่านเป็นสมณะศีรษะโล้น ครองผ้าสังฆาฏิ ยืนนิ่งอยู่ ท่านปรารถนาอะไร แสวงหาอะไร มาเพื่อขออะไรหรือ

ท่านพระอุปวาณะตอบว่า

พระสุคตมุนีเป็นอรหันต์ในโลก ประชวรด้วยโรคลม ถ้ามีน้ำร้อน ขอท่านจงถวายแก่พระสุคตมุนีเถิด พราหมณ์ ฉันปรารถนาจะเอาไปถวายพระผู้มีพระภาค ในบรรดาผู้ที่ควรแก่การบูชาสักการะนอบน้อมทั้งหลาย อันบุคคลได้บูชาสักการะ นอบน้อมแล้วนั้น

ครั้งนั้น เทวหิตพราหมณ์ให้บุรุษคนใช้ถือกาน้ำร้อนและห่อน้ำอ้อย ตามไป ถวายท่านพระอุปวาณะ

ลำดับนั้นท่านพระอุปวาณะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับแล้ว อัญเชิญ ให้พระผู้มีพระภาคทรงสนาน และละลายน้ำอ้อยด้วยน้ำร้อนแล้วถวายพระผู้มีพระภาค ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงหายประชวร

ท่านพระอุปวาณะเจริญสติได้ไหม ในขณะที่พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกและในขณะที่ท่านพระอุปวาณะทูลรับ นุ่งสบงถือบาตรจีวรเข้าไปยังที่อยู่ของเทวหิตพราหมณ์เจริญสติปัฏฐานได้ไหม ถ้าไม่ได้ พระผู้มีพระภาคจะไม่ตรัสให้ท่านพระอุปวาณะหาน้ำร้อนเพื่อฉัน หากเป็นเครื่องขัดขวางการเจริญสติของผู้อื่นแล้ว พระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงกระทำ แต่ชีวิตจริงๆ เป็นอย่างนี้ มีการเจ็บไข้ได้ป่วย มีการรักษาพยาบาล ระหว่างนั้นก็เป็นกิจการงานที่จะต้องเกิดขึ้น จะต้องมี จะต้องกระทำ แต่สามารถเจริญสติปัฏฐานได้ ไม่ใช่ว่าถ้าทำกิจต่างๆ เหล่านี้แล้วจะเจริญสติปัฏฐานไม่ได้

พระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎกที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมนั้น เพื่ออนุเคราะห์พุทธบริษัทให้เจริญสติ ให้เจริญกุศลมากที่สุดที่จะมากได้

. เรื่องการเจริญสติปัฏฐาน ฆราวาสหรือพระภิกษุสงฆ์ควรจะเจริญมากกว่ากัน

สุ. พุทธบริษัทควรเจริญทั้งหมด ไม่จำกัด ความดีไม่จำกัด พระธรรมของพระผู้มีพระภาคเหมือนกับแสงพระอาทิตย์ ไม่เลือกว่าจะเป็นเศรษฐี ผู้ดี ยากจน เข็ญใจ เป็นภิกษุ เป็นภิกษุณี เป็นอุบาสก อุบาสิกา ฆราวาส ผู้ใดมีความเข้าใจสดับฟังพระธรรมเทศนา พระองค์มิได้ทรงให้เฉพาะภิกษุเจริญ ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลก อุบาสก อุบาสิกาก็บรรลุธรรมเป็นจำนวนมากทีเดียว ถ้าไม่เจริญสติปัฏฐานแล้วจะบรรลุได้อย่างไร มีทางไหนที่จะบรรลุได้ ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะประจักษ์การเกิดดับ รู้ชัดในลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏได้ไหม

เมื่อสักครู่นี้ นามรูปดับไปหมดแล้วมากมายทีเดียว ถ้าไม่มีสติระลึกรู้ลักษณะของนามใดรูปใดก็ไม่รู้ ถ้าไม่มีสติ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่เป็นปกติธรรมดาที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ว่าจะเป็นกุศล อกุศล เป็นนาม เป็นรูป เป็นของจริงที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

การเจริญสติปัฏฐานเป็นเรื่องที่ต้องฟังมากๆ ทบทวนบ่อยๆ แล้วก็พิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังด้วย ถ้ากล่าวถึงพระวินัยก็คงทำให้ท่านผู้ฟังเห็นชัดขึ้นว่า ชีวิตของบรรพชิตก็ยังต้องมีกิจการงาน

พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อุโบสถขันธกะ บุพกรณ์ และ บุพกิจในโรงอุโบสถ มีข้อความว่า

ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่งโรงอุโบสถรก พวกพระอาคันตุกะพากันเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลายจึงไม่กวาดโรงอุโบสถเล่า ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้กวาดโรงอุโบสถ

ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ภิกษุรูปไหนหนอ พึงกวาดโรง อุโบสถ แล้วจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุเถระใช้ภิกษุนวกะ

ภิกษุนวกะทั้งหลายอันพระเถระใช้แล้ว ไม่ยอมกวาด

ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาครับสั่งกับ ภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่อาพาธ อันพระเถระบัญชาแล้ว จะไม่กวาดไม่ได้ รูปใดไม่กวาด ต้องอาบัติทุกกฏ

นี่ก็เป็นเรื่องของอุโบสถที่รก บ้านรกต้องทำไหม เจริญสติปัฏฐานได้ไหม ได้

เปิด  263
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565