ปฐมกุกกุฏารามสูตร และ ทุติยกุกกุฏารามสูตร
ใน ปฐมกุกกุฏารามสูตร กับ ทุติยกุกกุฏารามสูตร ที่ท่านพระอานนท์กับพระภัททะอยู่ที่กุกกุฏาราม ใกล้นครปาฏลีบุตร แล้วท่านพระภัททะก็ออกจากที่เร้นในเวลาเย็น เข้าไปหาท่านพระอานนท์ ปราศัยแล้วถามว่า "ที่เรียกว่า อพรหมจรรย์ อพรหมจรรย์ ดังนี้ อพรหมจรรย์เป็นไฉน"
ถ้าไม่มีการที่จะเห็นผิดไปบ้าง หรือว่าคลาดเคลื่อนไปบ้าง ท่านพระภัททะก็คงไม่ต้องไปถามท่านพระอานนท์ แต่ถึงท่านพระภัททะ ท่านก็ยังถามท่านพระอานนท์ว่า "อพรหมจรรย์เป็นไฉน" ซึ่งท่านพระอานนท์ก็ไม่ได้ตอบว่าเป็นอย่างอื่นเลย แต่ได้กล่าวว่า อพรหมจรรย์ นั้นคือ มิจฉามรรค อันประกอบไปด้วยองค์ ๘ คือ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉาวายามะ มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ
และเวลาที่ท่านพระภัททะถามถึง สัมมามรรค ไม่ใช่มิจฉามรรค ท่านพระอานนท์ก็กล่าวว่า อริยมรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นพรหมจรรย์ บุคคลผู้ประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๘ เรียกว่า พรหมจารีย์ ความสิ้นราคะ โทสะ โมหะเป็นที่สุดของพรหมจรรย์ และใน อสัปปุริสสูตร ที่กล่าวว่า อสัตบุรุษ เห็นผิด แล้วก็ดำริผิด ผิดไปหมด จนกระทั่งถึงมิจฉาสมาธิ และอสัตบุรุษ ยิ่งกว่า อสัตบุรุษ นั้นก็คือ รู้ผิด พ้นผิด ส่วน สัตบุรุษ นั้นเป็นผู้ที่เห็นชอบ และเป็นสัมมามรรคมีองค์อื่น จนกระทั่งถึงสัมมาสมาธิ และสัตบุรุษยิ่งกว่าสัตบุรุษ นั้นก็คือ ผู้ที่มีอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นผู้ที่เห็นชอบเป็นต้น จนถึงสัมมาสมาธิและรู้ชอบ พ้นชอบด้วย นี่ก็เป็นเรื่องที่ว่ามีได้ ความเห็นผิดและความคลาดเคลื่อนต่างๆ ในเรื่องของการปฏิบัติ ซึ่งความเห็นผิดนั้น ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น อยู่ที่ตัวเอง เพราะฉะนั้น ตัวเองที่จะเป็นผู้ที่จะเจริญสติปัฏฐานนั้น ก็เป็นผู้ที่จะต้องรู้ว่า มีความเข้าใจผิด มีความคลาดเคลื่อนในเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานบ้างหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น แต่ว่าเป็นเรื่องของตัวเองที่จะต้องพิจารณาเรื่องของข้อปฏิบัติให้ตรง เพื่อว่าเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องแล้ว ก็สามารถที่จะเจริญปัญญายิ่งขึ้น
ที่มา ...
