นาคสมาลเถรคาถา
ใน ขุททกนิกาย เถรคาถา จตุนิบาต นาคสมาลเถรคาถา มีข้อความที่ท่านพระนาคสมาลเถระ ท่านได้กล่าวถึงการบรรลุธรรมของท่าน ว่าท่านบรรลุธรรมในขณะไหน ท่านกล่าวว่าท่านเดินเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร เห็นหญิงฟ้อนรำคนหนึ่ง ตบแต่งกายด้วยเครื่องอาภรณ์ นุ่งห่มผ้าสวย ทัดทรงดอกไม้ ลูบไล้ด้วยกระแจะจัณฑ์ ฟ้อนรำอยู่ในวงดนตรี ที่ถนนหลวงท่ามกลางพระนคร ไม่ใช่ว่าท่านเห็นแล้วท่านไม่รู้อะไรเลย ท่านเห็นว่าเป็นหญิงฟ้อนรำ ท่านเห็นว่าตบแต่งกายด้วยเครื่องอาภรณ์ นุ่งห่มผ้าสวยงาม ท่านเห็นทัดทรงดอกไม้ ลูบไล้ด้วยกระแจะจัณฑ์ เห็นฟ้อนรำอยู่ในวงดนตรี ที่ถนนหลวงท่าม กลางพระนครด้วย ไม่ใช่เห็นแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่รู้อะไร ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเหตุว่า ท่าน พิจารณานามและรูปทุกประเภท สังขารธรรมทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าจะเป็นการรู้เรื่องเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป การเห็น การรู้ความหมาย ก็เป็นนามแต่ละชนิดเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เวลาที่ท่านเห็นหญิงฟ้อนรำคนนั้น เป็นดุจบ่วงแห่งมัจจุราช อันธรรมชาติมาดักไว้ แทนที่ท่านจะมีความพอใจหรือมีความยินดี สติปัฏฐานที่ได้เจริญการที่ท่านพิจารณานามและรูปเนืองๆ บ่อยๆ ในขณะนั้นแทนที่จะมีความยินดีพอใจ ปัญญาเห็นเป็นดุจบ่วงแห่งมัจจุราชอันธรรมชาติมาดักไว้ ท่านเกิดมนสิการ คือการพิจารณาด้วยความแยบคาย อาทีนวโทษปรากฏ ความเบื่อหน่ายตั้งลงมั่น ลำดับนั้น จิตก็หลุดพ้นจากสรรพกิเลส ขอท่านจงดูความที่แห่งธรรมเป็นธรรมอันดีเลิศ
คือการเจริญสติปัฏฐาน เมื่อได้เจริญแล้วก็เป็นธรรมอันดีเลิศ ไม่ว่าจะประสบ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะใดๆ ธรรมที่ได้เจริญแล้วนั้น ก็ย่อมจะทำให้มนสิการโดยความแยบคาย และเมื่อมนสิการโดยแยบคายแล้ว ขอให้ดูพยัญชนะที่ว่า อาทีนวโทษปรากฏ เห็นโทษของสังขาร อันนี้ก็เป็นวิปัสสนาญาณขั้น ๑ ไม่ใช่ว่าท่านนาคสมาระไม่เคยเจริญสติปัฏฐานเลย แล้ววิปัสสนาญาณก็เกิดสมบูรณ์ขึ้นมาในขณะนั้น แต่พระภิกษุทั้งหลายท่านเจริญสติปัฏฐาน เป็นการศึกษาของท่าน ศีลสิกขา สมาธิสิกขา ปัญญาสิกขา รวมอยู่ในมรรคมีองค์ ๘ แต่ว่าอินทรีย์จะสมบรูณ์เมื่อไร ใครบอกได้ ท่านกำลังไปบิณฑบาตที่ถนนหลวงท่าม กลางพระนครด้วย และสิ่งที่เห็นก็เป็นอย่างนี้ แต่ว่าสติปัฏฐานที่ได้เจริญมาก็มี อาทีนวโทษปรากฏ อาทีวนโทษเห็นโทษ เห็นความเกิดขึ้นและดับไป ใครบังคับได้บ้างว่าสติปัฏฐานที่เจริญมาเนืองๆ บ่อยๆ จะสมบูรณ์เป็นนามรูปปริจเฉทญาณเมื่อไร ปัจจยปริคหญาณเมื่อไร สมสนญาณเมื่อไร อุทยัพพยญาณเมื่อไร หรือว่าจะเห็นโทษภัยของสังขารที่เกิดดับนั้นเมื่อไร
เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นอาทีนวโทษปรากฏ ท่านที่เคยสงสัยว่า ท่านเจริญสติปัฏฐานกันอย่างไร หรือว่าท่านสะสมอบรมบารมีมาในอดีตอย่างไร ฟังธรรมเทศนาแล้วก็บรรลุบ้าง หรือกำลังทำกิจอย่างโน้นอย่างนี้ก็บรรลุบ้าง เพียงฟังพระคาถาบาทเดียวบทเดียวก็บรรลุบ้าง นี่คะ คือความสมบูรณ์ของผลที่มีเหตุ คือการเจริญอินทรีย์ของท่านมาในอดีต แม้ในขณะที่ท่านเห็นหญิงฟ้อนรำ การเกิดดับก็ปรากฏ อาทีนวโทษปรากฏ ความเบื่อหน่ายตั้งลงมั่น ความเบื่อหน่ายนี้ก็เป็นวิปัสสนาญาณขั้นหนึ่ง นิพพิทาญาณหลังจากที่เห็นการเกิดดับ เห็นความเป็นโทษเป็นภัยของการเกิดดับแล้ว ก็เกิดความเบื่อหน่าย คือการคลายความติดที่ยินดียึดถือสังขารนั้นว่าเป็นตัวตนนั่นเอง
ฉะนั้น ความเบื่อหน่ายในที่นี้ ไม่ใช่ความเบื่อหน่ายของคนธรรมดาที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ก็มาพิจารณาว่าเกิดมาลำบากนัก ก็ถูกไม่ผิดถ้าพิจารณาอย่างนั้นก็จริง เห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัยของการเกิด นี่ก็ดี แต่ไม่ตั้งมั่น เพราะลักษณะของนามและรูปนั้นไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ผู้ที่จะมีความเบื่อหน่ายตั้งมั่นได้นั้น ผู้นั้นจะต้องมีลักษณะของนามและรูปปรากฏตามความเป็นจริง จึงจะละคลายความที่เคยพอใจยึดถือได้ และลำดับนั้น จิตของท่านก็หลุดพ้นจากสรรพกิเลส และท่านก็กล่าวคำว่า ขอท่านจงดูความที่แห่งธรรมเป็นธรรม อันดีเลิศ นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นเรื่องของการปฏิบัติลำบากๆ ในที่ต่างๆ ท่าน ก็จะเห็นด้วยทันทีไม่มีข้อสงสัยเลย แต่เรื่องอินทรีย์จะสมบูรณ์ หรือจะมีปัญญาละคลายกิเลสในสภาพธรรมดาในชีวิตประจำวัน ท่านไม่เคยคิด แต่ก็มีในพระไตรปิฏกและก็เป็นตัวอย่างของพระสาวกในครั้งนั้นด้วย
ที่มา ...