ปาสาทิกสูตร


    ใน ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ปาสาทิกสูตร กล่าวด้วยเรื่องพุทธบริษัท สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ปราสาทในสวนอัมพวันของเจ้าศากยะ มีนามว่า เวธัญญา ในแคว้นสักกะชนบท เมื่อนิครณฐ์นาฏบุตรสิ้นชีวิตแล้วไม่นาน พวกสาวกนิครณฐ์ก็แตกแยกกัน แม้สาวกที่เป็นคฤหัสถ์ก็เบื่อหน่าย ท้อถอยในความแตกแยกแก่งแย่งของพวกสาวกนิครณฐ์ เพราะว่าธรรมนั้นประกาศไว้ไม่ดีไม่ใช่ธรรมที่จะนำผู้ปฏิบัติให้ออกจากทุกข์ได้ ไม่ใช่ธรรมที่พระผู้มีพระภาคประกาศไว้ ครั้งนั้น สามเณรจุนทะ อยู่จำพรรษาในเมืองปาวา ได้เข้าไปหาท่านพระ อานนท์ซึ่งอยู่ในรามคาม กราบไหว้ท่านพระอานนท์ แล้วพูดเรื่องสาวกนิครณฐ์ที่แตกแยกกัน ท่านพระอานนท์ชวนสามเณรจุนทะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคตรัสกับท่านพระอานนท์และท่านสามเณรจุนทะว่า ข้อนี้ย่อมมีได้อย่างนั้น

    ประการที่ ๑ เพราะว่าศาสดาไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้น ศาสดาก็ควรติ ธรรมก็ควรติ ใครชวนผู้ใดประพฤติปฏิบัติตาม ก็ประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญเป็น อันมาก เพราะเหตุว่าไม่ใช่ธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศ ฉะนั้น ทั้งศาสดาก็ควรติ ธรรมก็ควรติ สาวกผู้ประพฤติตามก็ควรติ แม้ผู้ที่สรรเสริญการปฏิบัติของสาวกนั้น ก็จะประสบสิ่งที่มิใช่บุญเป็นอันมาก (เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า ธรรมใดไม่ตรงกับพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้แล้ว ธรรมนั้นควรติจริงๆ เพราะเหตุว่าไม่สมบูรณ์พร้อมด้วยพยัญชนะและอรรถ)

    ประการที่ ๒ พระศาสดาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกาศธรรมไว้ดีแล้ว แต่สาวกไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ศาสดาควรสรรเสริญ ธรรมควรสรรเสริญ สาวกควรติ ผู้ชักชวนให้ปฏิบัติธรรมจะประสบบุญเป็นอันมาก (สิ่งที่ควรสรรเสริญก็ยังควรแก่การสรรเสริญนั่นเอง คือศาสดาควรสรรเสริญ ธรรมควรสรรเสริญ แต่สาวกควรติ ส่วนผู้ชักชวนให้ปฏิบัติธรรมนั้นจะประสบบุญเป็นอันมาก เพราะเหตุว่า ธรรมนั้นเป็นธรรมที่ พระผู้มีพระภาคได้ประกาศไว้ดีแล้ว)

    ประการที่ ๓ ศาสดาเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกาศธรรมไว้ดีแล้ว สาวกปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม และสรรเสริญการปฏิบัติเช่นนั้น ศาสดาก็ควรสรรเสริญ ธรรม สาวก และผู้ที่สรรเสริญธรรมนั้นก็ควรได้รับการสรรเสริญด้วย

    ประการที่ ๔ ศาสดาเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกาศธรรมไว้ดีแล้ว สาวกไม่รู้แจ้งธรรม เมื่อศาสดาอันตรธานแล้ว สาวกย่อมเดือดร้อน

    ประการที่ ๕ ศาสดาเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกาศธรรมไว้ดีแล้ว สาวกรู้แจ้งธรรม เมื่อศาสดาอันตรธาน สาวกไม่เดือดร้อน

    สมัยนี้สาวกจะเดือดร้อนหรือไม่เดือดร้อน พระศาสดาทรงปรินิพพานแล้ว เหลือพระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์ ตราบใดที่พระธรรมวินัยยังไม่อันตรธาน ย่อมเป็นความอุ่นใจได้ สำหรับผู้ที่ศึกษาและเข้าใจ ประพฤติปฏิบัติตามโดยถูกต้อง ไม่ใช่ด้วยความประมาท

    ประการที่ ๖ พรหมจรรย์บริบรูณ์ เพราะว่าศาสดาเป็นเถระ บวชนาน

    ประการที่ ๗ พรหมจรรย์ไม่บริบรูณ์ เพราะเหตุว่าศาสดาเป็นเถระ แต่ ภิกษุไม่เป็นเถระ ไม่เชี่ยวชาญ

    ประการที่ ๘ พรหมจรรย์บริบรูณ์ ศาสดาเป็นเถระ ภิกษุก็เป็นเถระ เชี่ยวชาญในพระธรรมวินัย ทั้งภิกษุเถระ ภิกษุปานกลาง ภิกษุใหม่ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งที่ครองเรือนและทั้งที่ไม่ครองเรือน และทั้งที่บริโภคกาม

    นี่เป็นความบริบรูณ์ของพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ใดไม่ประกอบด้วยบรรดาสาวกผู้เชี่ยวชาญ พรหมจรรย์นั้นก็ย่อมไม่บริบรูณ์ และสาวกผู้เชี่ยวชาญนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ว่า ทั้งภิกษุเถระ ปานกลาง ใหม่ ภิกษุณีเถระ ปานกลาง ใหม่ อุบาสก อุบาสิกา ผู้ประพฤติพรหมจรรย์คือผู้ที่ไม่ครองเรือน และผู้บริโภคกามด้วย

    พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า เพราะเหตุดังนี้นั่นแหละ จุนทะ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นใด อันเราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง บริษัททั้งหมดเทียว พึงพร้อมเพรียงกันประชุม รวบรวมตรวจตราอรรถด้วยอรรถ พยัญชนะด้วยพยัญชนะ ในธรรมเหล่านั้น โดยวิธีที่พรหมจรรย์นี้จะพึงเป็นไปตลอดกาลนาน ตั้งมั่นอยู่สิ้นกาลนาน พรหมจรรย์นั้นจะพึงเป็นไปเพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย

    ดูกร จุนทะ ก็ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นอันเราแสดงแล้ว ด้วยความรู้ยิ่งเป็นไฉน ที่บริษัททั้งหมดเทียว พึงพร้อมเพรียงกันประชุม รวบรวมตรวจตราอรรถด้วยอรรถ พยัญชนะด้วยพยัญชนะในธรรมเหล่านั้น โดยวิธีที่พรหมจรรย์นี้ จะพึงเป็นไปตลอดกาลนาน ตั้งมั่นอยู่สิ้นกาลนาน พรหมจรรย์นั้นจะพึงเป็นไปเพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ก็ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น คืออะไรบ้าง คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรค มีองค์ ๘

    ดูกร จุนทะ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล อันเราแสดงแล้วด้วยความรู้ยิ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่บริษัททั้งหมดเทียว พึงพร้อมเพียงกันประชุม รวบรวมตรวจตราอรรถ ด้วยอรรถ พยัญชนะด้วยพยัญชนะ ในธรรมเหล่านั้น (คือธรรมที่เป็นสติปัฏฐานซึ่งจะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม)

    พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า ถ้าอรรถ พยัญชนะแตกแยกกัน ก็ไม่พึงยินดี ไม่พึงคัดค้าน พึงกล่าวอย่างนี้ว่า พยัญชนะเหล่านี้ หรือพยัญชนะเหล่านั้นของอรรถนี้ อย่างไหนจะสมควรกว่ากัน อรรถนี้หรืออรรถนั้นของพยัญชนะเหล่านี้อย่างไหนจะสมควรกว่ากัน ถ้ากล่าวอย่างนั้นแล้ว อรรถ พยัญชนะ ก็คงยังแตกกันอยู่ ก็ไม่พึงยินดี ไม่พึงรุกราน พึงให้รู้ด้วยดี เพื่อไตร่ตรองอรรถและพยัญชนะเหล่านั้น ถ้ากล่าวผิด ไม่พึงยกย่อง ไม่พึงรุกราน พึงให้รู้ด้วยดี เพื่อไตร่ ตรองอรรถและพยัญชนะเหล่านั้น ถ้ากล่าวชอบ พึงชื่นชม พึงอนุโมทนา


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 5


    หมายเลข 13559
    3 พ.ค. 2568