กกุธสูตร


    ใน อังคุคตรนิกาย ปัญจกนิบาต กกุธสูตร

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับ ณ โฆษิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี สมัยนั้น บุตรเจ้าโกลิยะ นามว่า กกุธะ ผู้อุปัฏฐากท่านพระมหาโมคัลลานะ กระทำกาละไม่นาน (หมายความว่าสิ้นชีวิตไม่นาน) บังเกิดในหมู่เทพ อโนมยะ หมู่ ๑ เป็นผู้ที่ได้อัตภาพใหญ่ (เทพพวกนั้นเป็นผู้ที่มีรูปร่างกายใหญ่) กกุธะเทพบุตรได้เข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกล่าวเรื่องพระเทวทัตใคร่จะบริหารสงฆ์ และเสื่อมจากฤทธิ์ ท่าน พระมหาโมคคัลลานะก็ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้กราบทูลให้ทรงทราบ

    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงคือ ศาสดาบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ ย่อมปฏิญาณว่าเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ พวกสาวกรู้ แต่คิดว่าถ้าบอกคฤหัสถ์ ศาสดาจะไม่พอใจสาวกไม่กล้าทำให้ศาสดาไม่พอใจ ก็ไม่กล่าว โดยที่พวกสาวกเหล่านั้นก็คิดว่า สาวกจะพึงกล่าวด้วยความไม่พอใจของท่านอย่างไรได้ อีกอย่างหนึ่งมหาชนก็ยกย่อง ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานะปัจจัย เภสัช บริขาร ด้วยคิดว่าศาสดานี้จะทำกรรมใด เขาเองจะปรากฏด้วยกรรมนั้น ดังนี้พวกสาวกย่อมรักษศาสดาเช่นนี้ โดยศีล และศาสดาเช่นนี้ยอมหวังเฉพาะการรักษาจากพวกสาวก โดยศีล

    ไม่ใช่พระผู้มีพระภาคจะไม่รู้ถึงจิตใจของชาวโลก แม้แต่การที่จะแสดงศาสดาผู้ที่ฝึกสอนผู้อื่น พระผู้มีพระภาคก็ทรงแสดงไว้ทั้งประเภทของศาสดาและสาวก เพราะเหตุว่า บางท่านถึงแม้ว่าจะรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ แต่ก็คิดว่าถ้าผู้นั้นจะไม่พอใจ ก็ไม่กล้าทำให้ไม่พอใจ คือไม่กล่าวถึง ฉะนั้น สาวกก็ย่อมรักษาศาสดาพวกนี้ด้วยศีล คือรักษาในที่นี้ หมายความถึงรักษาไว้เป็นความลับไม่เปิดเผย ไม่กล่าว ไม่แสดง แต่ทั้งกาย ทั้งวาจา ใจของพระผู้มีพระภาคนั้น อันสาวกไม่ต้องรักษาเลย คือไม่มีสิ่งใดที่พระองค์จะทำผิดหรือจะทำไม่เหมาะสมต่างๆ ซึ่งจะทำให้สาวกต้องช่วยกันรักษาหรือปิดบังนั้น ไม่มี พระผู้มีพระภาคก็ยังทรงแสดงศาสดาต่อไปอีกว่า ศาสดาบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์ ย่อมปฏิญาณว่า เป็นผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์ ... ฯลฯ ดังนี้ พวกสาวกย่อมรักษาศาสดาเช่นนี้ โดยอาชีวะ และศาสดาเช่นนี้ย่อมหวังเฉพาะการรักษาจากพวกสาวก โดยอาชีวะ นี่คือการจำแนกโดยพระธรรมเทศนาในลักษณะต่างๆ

    ประการที่ ๓ ศาสดาบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีพระธรรมเทศนาไม่บริสุทธิ์ ย่อมปฏิญาณตนว่า เป็นผู้มีพระธรรมเทศนาบริสุทธิ์ พวกสาวกย่อมรักษาศาสดาเช่นนี้ โดย ธรรมเทศนา

    ประการที่ ๔ ศาสดาบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีไวยากรณะไม่บริสุทธิ์ (ข้อความต่อไปซ้ำ ... ฯ ลฯ) พวกสาวกย่อมรักษาศาสดาเช่นนี้ ด้วยไวยากรณะ

    ประการที่ ๕ ศาสดาบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีญาณทัสสนะไม่บริสุทธิ์ ย่อมปฏิญาณตนว่า เป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์ พวกสาวกย่อมทราบ แต่ถ้าพวกสาวกพึงบอกคฤหัสถ์ ก็ไม่พึงเป็นที่พอใจของศาสดา ก็พวกสาวกจะพึงกล่าวด้วยความไม่พอใจของศาสดานั้นอย่างไรได้ เพราะว่า มหาชนก็ยกย่องด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ เพราะฉะนั้น พวกสาวกย่อมรักษาศาสดาเช่นนั้น ด้วยญาณทัสสนะที่ไม่บริสุทธิ์

    สำหรับพระผู้มีพระภาคเองนั้น มีศีลบริสุทธิ์ก็ย่อมปฏิญาณว่าศีลบริสุทธิ์ พวกสาวกก็ย่อมไม่รักษาพระผู้มีพระภาค โดยศีล และพระผู้มีพระภาคก็ไม่หวังเฉพาะการรักษาจากพวกสาวก โดยศีล โดยอาชีวะ โดยธรรมเทศนา โดยไวยากรณ์ โดยญาณทัสสนะนี่ก็เป็นเรื่องที่ว่าแต่ละท่านก็ควรที่จะให้เปรียบเทียบ ความตรงของท่านเองกับพระธรรมเทศนา ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แม้แต่ในเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน ท่านต้องการอะไร ถ้าท่านต้องการปัญญาจริงๆ รู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจตามความเป็นจริง ไม่บังคับ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แสร้ง ไม่สร้างสิ่งอื่นขึ้นมารู้ ในขณะนั้นก็เรียกว่าท่านเป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมที่ปรากฏและเป็นผู้ที่จะละความเห็นผิด ความสงสัย ความไม่รู้ที่เคยยึดถือสภาพธรรมเหล่านั้นว่าเป็นตัวตนได้

    เพราะฉะนั้น ผู้เจริญสติปัฏฐานเมื่อต้องการปัญญา จะต้องพิจารณาเหตุแล้วจะต้องเจริญเหตุและผลที่เกิดขึ้นนั้น ก็จะต้องพิจารณาให้ตรงด้วยว่าผลที่เกิด ขึ้นนี้ ตรงกับเหตุที่ท่านเจริญอยู่หรือไม่ ถ้าตอนนี้ไม่ตรงก็ไม่มีทางตรง


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 14


    หมายเลข 13505
    21 เม.ย. 2568