063 ภารสูตร (ต่อ)
สนทนาพระสูตร ตอนที่ ๖๓
ที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันเสาร์ที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่สติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไหร่ ผู้นั้นจะเข้าใจความหมายของ ทะเลชื่อ กับทะเลภาพ ว่าขณะใดที่สติไม่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ขณะนั้นเป็นเรื่องของเรื่องราว เป็นเรื่องของชื่อ เป็นเรื่องของภาพทั้งวัน เพราะฉะนั้นตราบใดที่สติสัมปชัญญะยังไม่เกิด ไม่มีทางที่จะเข้าใจความหมายของคำว่า ทะเลชื่อกับทะเลภาพ ซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน อยู่นั่นแล้ว ตราบใดที่สติสัมปชัญญะไม่เกิด ทั้งวันก็ได้ ตลอดคืนก็ได้ กี่วันก็ได้ ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องราวตลอด และก็เป็นภาพตลอด เช่นในขณะที่กำลังเห็นขณะนี้ ทะเลภาพ ไม่ได้รู้เลยว่าปรมัตถธรรมขณะนั้นคืออะไร
ผู้ฟัง ที่อาจารย์ว่านี้ก็คือ รูปร่างสัณฐานแล้วก็มาเป็นชื่อใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เป็นอย่างนี้ทั้งวันหรือเปล่า ทั้งวัน แต่ถ้าสติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไหร่ จะรู้ความต่างกันทันที และจะเข้าใจความหมายด้วย เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ อกุศลเท่าไหร่ ด้วยความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นจึงทรงแสดงโดยประการทั้งปวงเพื่อให้เห็นตัวเองตามความเป็นจริงว่าเป็นอย่างนี้ แล้วก็ถ้าใครหวังว่า ไม่มีปัญญาก็จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เข้าใจได้อย่างไรว่าแม้แต่เพียงการฟังที่จะให้เข้าใจ ก็ไม่มี ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่จะปฏิบัติให้ถึงให้ได้ เอาอะไรมาเป็นการปรุงแต่งที่จะให้ถึงกันเข้าใจถูกความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม จนประจักษ์แจ้งอริยสัจจ์ได้ เป็นไปไม่ได้เลย เป็นแต่เพียงความคิดที่เลื่อนลอยด้วยความไม่รู้ แต่ถ้าเป็นความรู้จริงๆ ก็จะรู้ แม้แต่ที่จะเข้าใจแต่ละคำที่ทรงแสดงโดยอรรถที่ลึกซึ้ง ต้องอาศัยการพิจารณา แล้วก็การค่อยๆ คล้อยตามความเห็นที่ถูกต้อง จนกว่าจะสามารถเข้าใจ ลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่าทรงแสดงเรื่องของสภาพธรรมให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นก็จะมีคำมาก ที่จะช่วยทำให้ฟังแล้วค่อยๆ มีความเข้าใจขั้นฟัง ขั้นไตร่ตรอง จนเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง นี่เป็นขั้นอบรม ยังไม่ใช่การประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่มีปัญญาอย่างนี้ แล้วก็จะไปละกิเลส หรือว่าจะไปรู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
ผู้ฟัง เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ก็รู้สึกเป็นเรื่องจริงเลยที่เห็นคุณค่าของการที่เราได้มาศึกษาถึงขั้นตรงนี้ เพราะถ้าเกิดเราไม่ได้ทราบแนวทางของการที่จะเข้าใจที่จะเข้าไปหาสภาพความจริงแล้วมันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงใช่ไหม โลภะเดินได้ โทสะเดินได้ โมหะเดินได้ นานๆ ก็เป็นกุศลเดินได้สักทีหนึ่ง กุศลนั่ง โทสะนั่ง โลภะนั่ง
ผู้ฟัง โลภะเดินได้ โทสะเดินได้ ไม่เข้าใจเพิ่งมา
ท่านอาจารย์ ตอนนี้โลภะนั่ง หรือว่าโทสะนั่ง หรือว่ากุศลนั่ง
ผู้ฟัง มีทุกขณะ แต่ละขณะๆ
ท่านอาจารย์ เพียงแต่พูดเปรียบเทียบ เพราะเราเข้าใจแล้วว่า รูปเป็นรูป เเล้วก็นามเป็นนาม แต่ให้เห็นว่าวันหนึ่งๆ ความไม่รู้ของเรา แล้วก็อกุศลของเรามากแค่ไหน เพราะว่าผู้ที่เข้าใจธรรมถูกจริงๆ จะไม่มีการปฏิบัติ จะปฏิบัติผิดไม่ได้เลย เพราะมีความเข้าใจว่าเป็นธรรม แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย แล้วก็ขณะนี้ด้วย เพราะฉะนั้นยังไม่ทันจะต้องไปทำอะไรเลยสักอย่างสภาพธรรมก็เกิดแล้ว เป็นแล้ว แล้วก็ดับแล้วด้วย เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ก็จะทำให้มีพระธรรมเป็นรัตนะ ที่เรากราบไหว้บูชาพระรัตนตรัยก็คือ บูชาธรรมที่สามารถจะดับกิเลส ไม่ใช่บูชาธรรมอื่นเลย แต่ต้องบูชาธรรมที่สามารถดับกิเลสได้คือโลกุตตรธรรม แล้วก็ รวมทั้งคำสอนที่จะทำให้เรามีความเข้าใจถูกมีความเห็นถูก มิฉะนั้นก็ไม่ถึงการที่จะดับกิเลสได้ คุณวีณาเคยเดินแล้วก็โกรธหรือเปล่า เคย โลภแล้วก็เดินไปหาสิ่งที่ต้องการ แต่ว่าที่นี่ก็ดี คือด้วยกุศลจิต จะเดินไปก็ไปกราบพระบรมสารีริกธาตุ จะเดินมาก็มาฟังธรรม ก็เป็นเรื่องของแม้แต่ว่าขณะนั้นเป็นอะไรที่ทำให้เกิดกายวาจาอย่างนั้น
อ. ธีรพันธ์ โดยปกติแล้วก็จะคิดว่าภาระนี้จะต้องเป็นสิ่งของที่เรากำลังแบกอยู่ใช่ไหม แต่ก็มีความรู้สึกได้เหมือนกัน เวลาที่เราวางภาระลง วางของหนักลง รู้สึกสบายขึ้นมาเหมือนกัน มาจากที่เหน็ดเหนื่อยมาแล้ว แต่ความจริงแล้วสภาพธรรมที่กำลังมีอยู่เกิดอยู่ขณะนี้ ถ้าไม่รู้ว่าเป็นภาระก็คงจะต้องแบกกันอยู่ร่ำไป จนกว่าจะมีปัญญา หรือว่าจนกว่าได้ยินได้ฟังพระธรรมจึงมีความเห็นถูกว่า ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นภาระอย่างไร เพราะว่าการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ทำให้ต้องแบกภาระทั้งในภพนี้และภพหน้า ตลอดจนสังสารวัฏอันไม่สิ้นสุด จนกว่าจะเข้าใจพระธรรม แล้วมีความเห็นตรงจริงๆ ว่า ภาระนี้ไม่ใช่อะไรอย่างอื่น ก็คือขันธ์ ๕ ได้แก่รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์นี้เอง ถ้าไม่อาศัยการฟังแล้วจะไม่ทราบว่าอะไรคือภาระจริงๆ ทุกคนไม่อยากจะมีภาระใช่ไหม แต่ว่า ตอนนี้ก็มีภาระแล้วที่เกิดมานั่งอยู่ขณะนี้ ต้องมีภาระที่ต้องบริหาร ก็ต้องมีการบริหารให้เกิดปัญญาคือฟังพระธรรมให้เข้าใจ ถึงจะปลงภาระลงได้จริงๆ
ผู้ฟัง สุดท้ายของย่อหน้าแรก ที่ว่า ยกขันธ์ภาระขึ้นในขณะปฏิสนธินั่นเอง แล้วให้ขันธ์นี้อาบน้ำบริโภคนั่งนอนบนเตียงและตั่งและที่อ่อนนุ่ม และบริหาร ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้างร้อยปีบ้าง จนตลอดชีวิต แล้วทิ้งไปจุติขณะ อันนี้คือทิ้งไว้หมายความว่า ตาย ภาระที่จะแบกสำหรับในชาตินั้น
ท่านอาจารย์ คุณหมอว่ารูปนี้เป็นภาระหนักไหม
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ แต่ความติดในรูปนั้นหนักกว่าไหม ติดหนักกว่า โดยมากก็อาจจะคิดเพียงว่า เราต้องดูแลบริหารรูปร่างกาย ต้องอาบน้ำ ต้องทำอะไรหลายๆ อย่าง แต่ความติดข้องในรูปนั้นหนักกว่า เป็นภาระที่หนักกว่า
ผู้ฟัง ในชีวิตประจำวันของดิฉันเองมีความคิดว่า ศีล ๕ ก็ควรที่จะไม่ล่วง แต่นี่สำหรับเรื่องการที่จะติดในเรื่องสีกลิ่นรส ตรงนี้ดิฉันรู้สึกว่า ดิฉันปล่อยปละละเลย คือคิดว่าเป็นปกติ ไปเข้าใจว่าเมื่อเป็นผลของกรรมที่จะได้เห็นสิ่งที่ดี ก็ดี ก็ช่วยไม่ได้ แต่ว่าจะติดหรือเปล่า ตรงนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะคิดว่าเป็นลักษณะของที่เป็นสภาพธรรมมากกว่า ตรงนี้ท่านอาจารย์ช่วยอบรมด้วยว่ามีความคิดอย่างไรที่จะถูกต้อง เพราะว่าคิดถึงว่าเป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่เราอ มันบังคับก็ไม่ได้ แล้วก็เป็นผลของวิบาก
ท่านอาจารย์ บังคับไม่ได้ เรายังอยากจะบังคับหรือเปล่า หรือว่ารู้ บังคับกับรู้นี่ไม่เหมือนกัน
ผู้ฟัง คือบังคับที่จะให้ติดไม่ได้
ท่านอาจารย์ บังคับที่จะไม่ให้ติดก็ไม่ได้ ใช่ไหม เพราะว่าติดแล้ว แต่อะไรหล่ะที่จะต้องละก่อน การละความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะไม่ใช่ฐานะของปุถุชน และการดับความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะไม่ใช่ฐานะของปุถุชนและพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นธรรมต้องตรงตามความเป็นจริง แต่ละคนมีอัธยาศัยต่างกัน ถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่เกิดขึ้นปรากฏ จะไม่รู้เลยว่าสะสมมาอย่างไรที่ต่างกัน แต่ว่าจะรู้เมื่อสิ่งนั้นปรากฏ อย่างถ้าเคยคุ้นเคยกันมาหลายปี แต่ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นที่จะทำให้รู้ว่าบุคคลนั้นมีการกระทำตามที่ได้สะสมมาอย่างนั้น ซึ่งคาดไม่ถึง ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นปรากฏให้รู้ ก็รู้ไม่ได้ว่า แต่ละคนสะสมมาลึกๆ แล้วก็มาก แล้วก็หนาแน่นแค่ไหน สำหรับเรื่องความพอใจในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ผู้ที่จะดับได้เป็นสมุจเฉทไม่เกิดเลยคือพระอนาคามีบุคคล ผู้ที่ละความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะอย่างหยาบๆ เป็นพระสกทาคามีบุคคล เพราะฉะนั้นปุถุชนกับพระโสดาบัน ไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในฐานะ หรือเป็นฐานะที่จะดับความยินดีพอใจในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ไม่ใช่ว่าเราไม่เห็นโทษ ทรงแสดงโทษ แต่ก็รู้ตามความเป็นจริงว่า ต้องอบรมเจริญปัญญาที่จะดับความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวเราก่อน มิฉะนั้นแล้วก็ทำอะไรผิดๆ ใช่ไหม จะไปเป็นอย่างพระโสดาบันทั้งๆ ที่เป็นไปไม่ได้เลย แล้วก็ไม่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงด้วย เพราะว่ามีตัวเราซึ่งพยายามจะทำ แต่อย่าลืมว่ายังไม่ทันจะทำอะไร สภาพธรรมก็เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วทุกขณะในขณะนี้ เพราะฉะนั้นถ้ามีความยินดีพอใจในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในโผฏฐัพพะขณะไหน สติสัมปชัญญะเห็นความพอใจนั้นว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ต้องละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นตัวตนก่อนอย่างอื่น แล้วก็จะเห็นตัวเองตามความเป็นจริงว่า ยังเหลืออะไร ก็ยังเหลือความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะซึ่งจะดับต่อไปก็ด้วยการรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่อไป
ผูฟัง ก็ถ้าไม่ได้เข้ามาที่สถานที่นี้ ถ้าอยู่ข้างนอก คนอื่นที่เจอก็จะบอกว่า ถ้าเรามีการแต่งตัว เขาบอก สวยดีนะ แต่ถ้ามาเดินอยู่ในที่ที่ศึกษาธรรม ก็จะบอกว่า โลภะๆ ดิฉันก็คิดว่าเข้าใจกันอย่างไร ขณะที่ว่าดิฉันโลภะ ขณะนั้นดิฉันจะมีจิตเป็นกุศลก็ได้ แต่ก็ถูกตราหน้าว่าโลภะอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นก็เลยไม่เข้าใจจริงๆ ว่า โลภะกับขณะที่มันเป็นผลของการที่ได้รับอยู่ มันต่างกันอย่างไร
ท่านอาจารย์ โลภะไม่ใช่วิบาก ผลของกรรมต้องขณะเห็น ขณะได้ยิน ขณะได้กลิ่น ขณะลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เรื่องคนอื่นจะคิดอย่างไรเราห้ามไม่ได้เลย แต่ตามความเป็นจริงที่จะต้องเข้าใจก็คือว่า แต่ละคนอยู่ในโลกของตัวเอง คือจิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้น ถ้าจิตขณะนั้นจะคิดถึงคนอื่น มีคนอื่นในโลกนั้นด้วยการคิด แต่ขณะใดที่จิตไม่คิด ขณะนั้นก็ไม่มีคนนั้นเลย อะไรก็ไม่มีถ้าไม่คิด เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่จะต้องรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า จะวางภาระ ก็คือวางอะไรก่อน
ผู้ฟัง เคยบอกไว้ในเทปว่า ถ้าไปไหนไปเที่ยวเจอของสวยๆ พูดว่าโลภะ แต่รู้ลักษณะของโลภะหรือเปล่า อาจารย์อธิบายให้ฟัง
ท่านอาจารย์ ดอกไม้สวย เดี๋ยวนี้เลยยังไม่ต้องไปซื้อของ
ผู้ฟัง สวยแต่ไม่รู้ลักษณะ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แต่ไม่รู้ว่าขณะที่พอใจนั่นคือโลภะ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เพราะเห็นก็เห็น เห็นก็ไม่ใช่โลภะ เพราะฉะนั้นโลภะก็ไม่ใช่ขณะที่เห็น นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องเข้าถึงสภาพธรรมด้วยสติสัมปชัญญะ เมื่อเข้าใจแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะค่อยๆ เข้าถึงหรือเข้าใกล้ความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะรวดเร็ว เป็นเรื่องซึ่งแต่ละคนมีเครื่องพิสูจน์ทั้งวัน ขณะเห็นเดี๋ยวนี้ มีความเข้าใจลักษณะของนามธรรมที่เห็น ไม่ใช่เรา ต้องเข้าถึงสภาพธรรม ด้วยสติสัมปชัญญะ เมื่อเข้าใจแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะค่อยๆ เข้าถึงหรือเข้าใกล้ความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะรวดเร็ว เป็นเรื่องซึ่งแต่ละคนมีเครื่องพิสูจน์ทั้งวัน ขณะเห็นเดี๋ยวนี้ มีความเข้าใจลักษณะของนามธรรมที่เห็น ไม่ใช่เรา เป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่งซึ่งสามารถเห็นได้ เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่กระทบจักขุปสาท ธาตุเห็นนามธรรมที่เห็นจึงเกิดได้ ถ้าไม่มีสีสันวรรณะรูปารมณ์กระทบจักขุปสาทจะให้เห็นเกิดเป็นขณะนี้ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกขณะก็คือสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนเมื่อไหร่ที่สติสัมปชัญญะเกิด ความเข้าใจที่มีมาแล้วขณะนั้น ก็จะช่วยให้เข้าใจลักษณะนั้นได้ แต่ถ้าไม่เคยฟังไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ก็ไม่มีทางที่จะไปพยายามทำอย่างไรที่จะให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้น
ผู้ฟัง ถ้าเราจะขัดเกลากิเลสแล้วจะต้องรู้จักลักษณะของตัวโลภะก่อนใช่เปล่า
ท่านอาจารย์ รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงทั้งหมด ทั้งรูป ทั้งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เข้าใจว่าเรากำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม แล้วก็เป็นปรมัตธรรม และก็ที่มีพระอภิธรรมด้วย ๗ คัมภีร์ เป็นพระอภิธรรมปิฏก ก็คือความละเอียดยิ่งของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้นั่นเอง
ผู้ฟัง อีกคำหนึ่งคำว่า สติเกิด นี้สมมติว่า อากาศเปลี่ยนปุ๊ป ก็รู้สึกตัวทันทีเลย แบบนี้ที่เรียกว่าเป็นตัวสติ หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ รู้สึกตัวนั้นมีอะไรปรากฏให้รู้
ผู้ฟัง คือว่าสภาวะของถามที่ว่าอากาศมันเปลี่ยนไป
ท่านอาจารย์ อากาศเปลี่ยนไปก็เป็นเรื่องของอากาศเปลี่ยน
ผู้ฟัง ก็เลยตัวสติไปแล้ว
ท่านอาจารย์ มีลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ด้วย ขณะนี้จะไม่ขาดลักษณะหนึ่งลักษณะใดเลย แต่ว่าค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจในลักษณะนั้นๆ ให้ถูกต้องว่า ไม่ใช่ตัวตนอย่างไร จนกว่าจะเข้าใจได้จริงๆ
ผู้ฟัง จากการที่มาฟังสนทนาธรรมที่นี่ ก็มีความคิดอย่างที่ว่า หลายคนที่มาฟังที่นี่ แล้วก็เหมือนว่าพูดซ้ำๆ แล้วบอกว่าเบื่อ แล้วก็ลาจากไป ตรงนี้ดิฉันคิดว่า เป็นเพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจว่าการศึกษาที่นี่คือ น้อมเข้าไปที่จะเข้าลักษณะของธรรมที่มีปรากฏอยู่แต่ละขณะ กราบท่านจันช่วยอธิบายตรงนี้ด้วย ดิฉันคิดว่าตรงนี้เป็นตัวสำคัญที่ว่าไม่ได้เข้าใจที่ว่าการอบรมตรงนี้คืออะไร เพราะถ้าเข้าใจตรงนี้แล้ว เป็นบุญกุศลเหลือเกิน เพราะธรรมปรากฏอยู่ตลอด จากที่ศึกษามา ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของจิตสภาพรู้ เจตสิก หรือว่ารูป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมที่ทุกคนกำลังฟัง เพื่อให้เข้าใจความเป็นอนัตตายิ่งขึ้น เพราะว่าไม่มีอัตตา ทุกอย่างเป็นอนัตตา ฟังเพื่อให้เข้าถึง และให้เข้าใจความเป็นอนัตตายิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้วมีตัวตนที่ไม่ชอบ แต่ว่าถ้าฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจความเป็นอนัตตายิ่งขึ้นนั่นคือจุดประสงค์ของการฟัง แต่ไม่ใช่ฟังแล้วให้มีตัวตนที่จะเลือก ที่จะทำอะไร แต่ว่า ประโยชน์ที่เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เพราะว่ากำลังมีสภาพธรรมปรากฏให้เข้าใจถูกได้
ผู้ฟัง เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่า ขณะที่นั่งเป็นโลภะ ขณะที่นั่งรถมานี้ก็คงจะเป็นโลภะ ขณะที่ฟังเทปอยู่เมื่อคืนนี้ก็คงจะเป็นโลภะ
ท่านอาจารย์ ฟังเข้าใจไหม ถ้าเข้าใจก็ไม่ใช่ ไม่ได้เป็นโลภะตลอดวัน บางขณะก็มีกุศลจิตเกิดได้ แสดงให้เห็นว่า ขณะใดที่ไม่เป็นกุศล ขณะนั้นเป็นอกุศล แล้วเราก็สามารถที่จะรู้ตัวเราได้เลยว่า วันหนึ่งๆ เราเป็นกุศลมากหรืออกุศลมาก เพราะว่าคนที่ไม่มีกุศลเลยทั้งวันก็มี ใช่ไหม นั่นคือที่กล่าวถึง แต่ถ้าใครมีปัจจัยที่จะให้กุศลจิตเกิด ขณะนั้นก็ไม่ใช่ตลอดเวลา ก็มีโอกาสที่อกุศลมีปัจจัยจะเกิดขึ้นด้วย
ผู้ฟัง ขณะที่ตั้งใจฟังเทปแล้วก็ตั้งใจที่จะมาฟัง นั่งรถมา ขณะะที่นั่งอยู่ปัจจุบันนี้ก็ไม่ใช่โลภะตลอดไปใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ชื่อ จะเรียกว่าอะไรไม่สำคัญ แต่ลักษณะของจิตขณะนั้นไม่มีโลภะในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เพราะว่ากำลังฟังพระธรรมด้วยศรัทธา และขณะใดที่มีความเข้าใจ ขณะนั้นก็ไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่อกุศลแน่นอน
ผู้ฟัง เมื่อสักครู่ผมก็สงสัยว่า พระพุทธเจ้าก็สอนว่า ต้องเข้าหาผู้รู้ เข้าไปใกล้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าเข้าไปใกล้เฉยๆ ก็ต้องถามด้วย อันนี้ผมก็สงสัยว่า เราถามท่านผู้รู้สัตบุรุษ แล้วก็จะต้องเป็นโลภะอีก ก็ยังสงสัยอยู่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะได้ยินได้ฟังอย่างไรก็ตาม เราผู้ฟังพิจารณา แล้วก็เข้าใจถูก ว่าหมายความถึงขณะไหนอย่างไร สำหรับผู้ที่วันหนึ่งๆ ไม่มีกุศลจิตเกิดเลย มีไหมสำหรับบางท่าน มีแน่นอน นี่ก็คือกล่าวหมายความถึงท่านเหล่านั้น เพราะฉะนั้นเวลาฟังธรรมก็คือว่า ไม่ถือติดในพยัญชนะ แต่ว่าสำหรับผู้ที่มีกุศลจิตเกิด ก็รู้ว่าขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นก็ไม่ใช่อกุศล เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ก่อนที่จะได้ฟังธรรม เราก็ลองพิจารณาว่า เคยเป็นอย่างนั้นไหม คือทั้งวันไม่มีกุศลจิตเกิดเลย บางวันก็มีกุศลจิตเกิดบ้าง มีความเมตตามีการช่วยเหลือบุคคลอื่น มีกายวาจาที่ดี ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน พูดจาก็น่าฟัง กายก็ดี ขณะนั้นก็เป็นกุศล เพราะฉะนั้นธรรมทำให้เรารู้จักตัวเราเองตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะได้ฟังอะไรต้องรู้ว่า เว้นอะไรหรือเปล่า กล่าวถึงขณะไหน เมื่อไหร่ กับบุคคลใด ไม่ใช่ว่าเราจะเอาคำนั้นมาแล้วก็ยึดถือไว้ว่าต้องเป็นอย่างนั้น แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเมื่อไหร่เป็นอย่างนั้น เมื่อไหร่ไม่เป็นอย่างนั้นด้วย
ผู้ฟัง เมื่อสักครู่นี้ก็มีคำถามในลักษณะที่ว่า มีผู้ที่มาฟังธรรมแล้ว ฟังไปสักพักหนึ่งก็จะเบื่อแล้วก็จะจากไป คุณอรรณพบอกว่า ถ้าเขาเบื่อนี่ก็แสดงว่า เขาเบื่อพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็ขอเชิญคุณอรรณพขยายความตรงนี้
อ. อรรณพ เพราะว่าจริงๆ แล้ว เรามาฟังอะไรใช่ไหม ก็มาฟังพระธรรมคำสั่งสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงให้รู้ความจริง แล้วจริงๆ ความจริงก็คือไม่พ้นที่กำลังปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วในข้อความในพระสูตรนี้ ก็ทั้งนั้นเลย ท่านก็แสดงถึงสภาพธรรมทั้ง ๖ ทาง แล้วก็รู้เพื่อละ เพียงแต่ว่า จะทรงจำแนกออกในนัยไหน อย่างเช่นในพระสูตรนี้ก็คือโดยนัยของขันธ์ ๕ ที่เราติด ในรูปขันธ์ๆ ก็ปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกาย นามธรรมปรากฏทางใจ เราก็ติดอยู่ในรูปธรรมนามธรรม หรือติดอยู่ในขันธ์ ๕ หรือจะสรุปก็คือ ติดในสภาพธรรมที่ยึดถือผิดว่าเป็นสัตว์บุคคลตัวตน แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงตรงนี้ แล้วเราฟังแล้วเราก็เบื่อ เพราะว่า มาฟัง อยากจะได้อะไรใหม่ๆ อยากจะได้เรื่อง อยากจะได้ชื่อเยอะๆ ก็สนุกไปกับเรื่องกับชื่อ เพลินไปในทะเลภาพทะเลชื่อทะเลเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้นที่เบื่อ ก็คือเบื่อที่จะรู้ความจริง เบื่อที่จะไม่ฟังพระธรรมที่จะให้รู้สิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ก็คือเบื่อพระธรรมของพระพุทธเจ้านั่นเอง ไม่ได้เบื่ออย่างอื่นเลย
ผู้ฟัง คุณธีรพันธ์ เคยเบื่อธรรมไหม
อ. ธีรพันธ์ ก็เคย แต่ว่า ความเบื่อนี่ไม่ได้ช่วยให้ปัญญาเกิดขึ้น ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ เพราะว่าฟังธรรมเพื่อให้เกิดปัญญา ถ้าเบื่อแล้ว จะมีปัญญาที่ไหน แล้วก็ความเบื่อก็คือ อกุศล นั่นเอง ถ้ามีปัญญาแล้ว มีความเข้าใจแล้ว ก็จะคลายความเบื่อ แล้วก็มีความสนใจ มีฉันทะที่จะฟังธรรม ที่จะศึกษาหรือว่าสนทนา ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ ความเบื่อ ก็เห็นว่าพระธรรมเป็น สิ่งที่ยาก เพราะว่าวัตถุประสงค์ในการศึกษา ศึกษาเพื่ออะไร ผู้ที่เบื่อ ถ้าวัตถุประสงค์ไม่ถูกต้อง ไม่มีวัตถุประสงค์เป้าหมายจริงๆ ของการศึกษาพระธรรม ก็จะทำให้เบื่อได้ แม้แต่พระธรรมหรือว่าวิชาการทางโลกหรืออะไรก็แล้วแต่ หรือประสบพบสิ่งที่ผ่านมาทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็สามารถเบื่อได้ เห็นอะไรหน่อยก็เบื่อหงุดหงิด เบื่อไปหมดเลย ก็เป็นโทสะเดินได้ ก็ช่วยอะไรไม่ได้
ท่านอาจารย์ เราก็ต้องทราบว่า ฟังเพื่ออะไร เพื่อรู้สิ่งที่เราไม่รู้ แล้วก็ค่อยๆ รู้ขึ้น แล้วก็เป็นการที่จะขัดเกลาละคลายอกุศลด้วย เพราะว่าใครก็ตามที่ศึกษาธรรม แล้วก็ไม่มีการละคลายเลย เราจะรู้สึกอย่างไรว่า เขาเข้าใจธรรมจริงๆ หรือเปล่า แต่ไม่ได้หมายความว่า ให้เขาไปดับกิเลสเป็นพระโสดาบันได้ทันที แต่อย่างน้อย เขาก็จะมีความเข้าใจในเรื่องของตัวเอง แล้วก็เห็นว่าจากการที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย เขาได้เข้าใจขึ้นเพราะอะไร คิดจริงๆ ว่าเข้าใจเพราะอะไร เพราะเห็นรูปภาพ หรือว่าเพราะฟังแล้วก็ไตร่ตรองว่า ลักษณะที่กล่าวถึงมีจริงๆ ในขณะนั้น โดยที่ว่าไม่ต้องมีรูปภาพอะไรเลย เช่นในขณะนี้ที่กำลังเห็น ก็มีลักษณะที่เห็นอยู่ แต่ว่าไม่เคยรู้เลยว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นการที่ได้ฟังแม้ว่าเป็นสิ่งที่ยากมาก แต่ก็เริ่มที่จะค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยจากการฟังแล้วฟังอีก เพราะว่าไม่มีใครเลยที่สามารถที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมโดยที่ไม่ใช่เป็นพหูสูต ไม่เคยฟังมาก่อนนานแสนนาน นี่ก็เป็นสิ่งที่ยิ่งพูดถึงสภาพธรรมเท่าไหร่ ก็รู้จักตัวจริงเท่านั้น แล้วก็การศึกษาก็คงจะต้องพร้อมทั้งพระสูตรพระวินัย และพระอภิธรรม ที่จะเห็นว่าทั้งหมดเป็นเรื่องของปัญญา ถ้าเป็นพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจะไม่มีการขาดปัญญาเลย แม้ในเรื่องของพระวินัย ผู้ที่บวชมีปัญญาหรือเปล่าจึงบวช ลองคิด คำว่า ภิกษุ คือ ผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฎ ถ้าไม่มีปัญญา จะเห็นภายในสังสารวัฎไหม คำว่าภิกษุความหมายจริงๆ คือผู้ที่เห็นภัย เห็นมากกว่าผู้ที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา จึงบวช ถ้าเห็นเท่ากันก็คือไม่มีเพศบรรพชิตใช่ไหม แต่ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาเห็นภายในสังสารวัฎมากกว่า จึงมีชีวิตที่ขัดเกลากว่า เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา แต่แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีปัญญาเห็นภัย ก็จะเห็นได้ว่าปัญญาของผู้ที่บวชก็ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาทั้ง ๓ ปิฏก เป็นเรื่องของปัญญาที่ว่า พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ความประพฤติทางกายทางวาจาเป็นอย่างไร โดยที่คนนั้นอาจจะไม่รู้เลย เพราะเหตุว่าเพียงเห็นประโยชน์ และก็เห็นภัยจึงบวช แต่ก็ต้องมีการฟังพระธรรม แล้วก็ต้องมีการประพฤติปฏิบัติตาม ที่จะรู้ว่าพระวินัยลึกซึ้งโดยกิจ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นกิจอย่างคฤหัสถ์ ไม่เหมาะไม่ควรแก่เพศบรรพชิต เพราะฉะนั้นผู้นั้นต้องมีปัญญาเห็นว่า กิจนี้เป็นกิจของใคร เป็นกิจของคฤหัสถ์หรือว่าเป็นกิจของบรรพชิต ต้องมีปัญญาแล้วใช่ไหม และรู้ว่ากิจที่เหมาะสมต่อเพศบรรพชิตต้องเป็นกิจอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นไม่ได้หมายความว่าพระพุทธเจ้าจะสั่งให้ไม่ทำ
