สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้คิด พฐ.7362


    สุกัญญา ลักษณะของรูปที่ปรากฏ อย่างลักษณะของธาตุดินที่ปรากฏ ต้องใช้คำว่า มองเห็นดิน ซึ่งทุกคนจะเข้าใจในประโยคนี้ แต่ไม่ใช่ลักษณะสภาพจริงๆ ที่ปรากฏกับจิตเห็น ใช่ไหมคะ

    สุ. ลักษณะจริงๆ อะไรปรากฏกับจิตเห็น

    สุกัญญา จากการศึกษาก็ต้องเป็นลักษณะของสีที่ปรากฏ

    สุ. สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้

    สุกัญญา อย่างธาตุไฟ เราก็สามารถจะมองเห็นได้

    สุ. เห็นอะไรของไฟ หลับตาแล้วเห็นไหมคะ

    สุกัญญา หลับตาไม่เห็น

    สุ. เพราะฉะนั้นเวลาลืมตาเห็นอะไร

    สุกัญญา ก็เห็นสี

    สุ. ค่ะ แล้วก็เข้าใจว่า นั่นคือไฟ แต่สิ่งที่ปรากฏจริงๆ ก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้เอง แล้วแต่จะคิด แล้วแต่จะจำเมื่อเห็นอะไร แต่ความจริงสิ่งที่ถูกเห็น ตาสามารถเห็นได้ สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ได้ ก็คือสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ เมื่อกำลังเห็น

    สุกัญญา ทีนี้มองเห็นดอกกุหลาบสีชมพูกับสีขาว ลักษณะที่ปรากฏทางตา ถ้าจะกล่าวว่าคือสี สีชมพูกับสีขาวก็ไม่ใช่สภาพปรมัตถธรรมใช่ไหมคะ

    สุ. สิ่งที่ปรากฏทางตา จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ จะเรียกสี จะเรียกดอกกุหลาบ จะเรียกอะไร แต่ความจริงก็คือสิ่งที่ปรากฏกำลังถูกเห็น

    สุกัญญา และลักษณะที่ปรากฏก็คือรูปชนิดหนึ่ง

    สุ. ค่ะ เพราะว่ารูปหมายถึงสภาพที่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย

    สุกัญญา ทีนี้ถ้าเรากล่าวว่า เราเห็นดิน เห็นไฟ เห็นดอกไม้ อันนี้ก็ไม่ใช่ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา ใช่ไหมคะ

    สุ. แน่นอนค่ะ สิ่งที่ปรากฏ คือ กำลังปรากฏแล้วก็ดับไป แค่นั้นเอง มีจริง กระทบ จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป

    สุกัญญา แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาคืออะไรคะ

    สุ. เดี๋ยวนี้ไงคะ เรียกชื่อได้ไหม หรือไม่ต้องเรียก ใช้ภาษาอะไรก็ได้ ไม่ใช้เลยก็ได้ แล้วมีจริงๆ หรือเปล่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ทางตา มีจริงๆ หรือเปล่า

    สุกัญญา มีจริง

    สุ. นั่นแหละค่ะ อันนั้นแหละคือสิ่งที่ปรากฏให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น เห็นได้ สิ่งเดียวที่เห็นได้ คือ จิตสามารถเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เป็นสิ่งที่มีจริง

    สุกัญญา แม้ว่าสิ่งที่เราเห็นจะเรียกอะไรในชีวิตประจำวัน

    สุ. ค่ะ เรียกไปเถอะ เปลี่ยนลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม

    อุไรวรรณ ท่านผู้ฟังถามว่า ได้ฟังเรื่องราวและชื่อของรูป โดยมีสภาพธรรมอย่างไร โดยละเอียด และจะกล่าวว่า รู้ลักษณะของรูป ซึ่งเป็นรูปธรรมมีจริงๆ ซึ่งกำลังเกิดดับขณะนี้ได้หรือไม่

    สุ. ถ้าไม่ฟังจะรู้ไหมว่า จริงๆ ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังเพียงปรากฏให้เห็นทางตา ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม ก็มีธาตุชนิดหนึ่งที่สามารถเพียงปรากฏเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้นเท่านั้น ถ้าตาบอด จิตเห็นเกิดไม่ได้ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ก็เป็นสภาพที่มีจริงอย่างหนึ่ง มีลักษณะที่ปรากฏกับจิตที่กำลังเห็นเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริง ก็มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างซึ่งสามารถจะปรากฏให้รู้ เมื่อจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น

    สุกัญญา ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ใช่สีใดสีหนึ่งใช่ไหมคะ

    สุ. ทำไมต้องเรียกค่ะ อะไรก็ได้ที่กำลังปรากฏขณะนี้ เปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย

    สุกัญญา อย่างคนตาบอดสี

    สุ. อย่างไรก็ตามแต่ หมายความถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาเท่านั้น จะเรียกอะไรก็ได้ ไม่เรียกก็ได้

    สุกัญญา ถ้าอย่างนั้น ลักษณะของสภาพธรรมที่ทุกวันนี้เราก็เข้าใจ ที่ท่านอาจารย์ถามว่า เห็นไหม เราก็ตอบว่าเห็น แต่สิ่งที่เราเห็น ยังไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตาหรือคะ

    สุ. แล้วเห็นอะไร

    สุกัญญา ก็เห็นสี เห็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เห็นทุกอย่าง

    สุ. ถ้าเอาคำว่า “สี” ออก เอาคำว่า “สัตว์ บุคคล ตัวตน” ออก ยังมีสิ่งที่ถูกเห็นและกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ไหม ตัดชื่อออกหมดเลย ไม่คิดถึงชื่อใดๆ เลย แต่ขณะนี้เมื่อมีเห็น ก็มีสิ่งที่กำลังถูกเห็น กำลังปรากฏให้เห็น เป็นความจริงหรือเปล่า

    สุกัญญา เป็นความจริงค่ะ

    สุ. ถ้าตาบอด จิตเห็นไม่เกิด แม้สิ่งนี้มี ก็ไม่ได้ปรากฏเลย

    สุกัญญา อย่างนั้นการเห็นของจิตแต่ละขณะ ก็จะต้องต่างกัน

    สุ. ต้องมีจักขุปสาทรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่เลือก ไม่เจาะจงว่าจะเป็นลักษณะใดทั้งสิ้น แต่เป็นสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏ เท่านั้นเอง ความจริงคือเท่านั้น

    สุกัญญา ฟังท่านอาจารย์กล่าว ก็ทำให้มีความรู้สึกว่า ห่างไกลจากสภาพธรรมตามความเป็นจริงมากมายมหาศาล เพราะว่าในชีวิตประจำวัน ท่านอาจารย์ถามว่า เห็นไหม นี่คือเห็น แต่ไม่ได้เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา

    สุ. แล้วเห็นอะไร

    สุกัญญา ก็เห็นสี กับเห็นสัตว์ บุคคล ตัวตน

    สุ. ปรากฏทางตาหรือเปล่า ปรากฏทางหูหรือคะ

    สุกัญญา ไม่ใช่ค่ะ

    สุ. เพราะฉะนั้นขณะนี้เห็น ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ไม่เรียกอะไรก็ยังได้ แต่ว่ามีจริงๆ เพราะเห็นแล้ว จะบอกว่า สิ่งที่ถูกเห็น ไม่มีได้อย่างไร แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นเอง ว่าลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่ปรากฏนี้เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ ถ้าไม่มีการคิดนึกถึงรูปร่างสัณฐาน ของสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ก็เกิดแล้วดับสืบต่ออย่างเร็ว จนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิตต่างๆ และสัญญาก็จำในนิมิตต่างๆ กันว่าเป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นโต๊ะบ้าง เป็นเก้าอี้บ้าง แต่ลักษณะแท้จริง คือ สิ่งนั้นเป็นธาตุที่มีจริง ซึ่งสามารถปรากฏกับจิตเห็น เมื่อธาตุนั้นกระทบกับจักขุปสาท

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีจักขุปสาท อย่างที่สมมติเรียกกันว่า โต๊ะ เก้าอี้ ไม่มีจักขุปสาท ไม่มีทางเห็นเกิดขึ้นได้เลย ต่อเมื่อใดที่ใดก็ตามเอารูปอื่นออกหมด แต่มีจักขุปสาทที่สามารถกระทบกับรูปนั้น แล้วก็เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น นี่คือชั่วขณะหนึ่งที่เราคิดว่ามีโลกกว้างใหญ่ มีคนมากมาย มีเราทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ความจริงไมมีอะไรเลย นอกจากธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วสืบต่อ โดยที่ไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วก็คือชั่วลักษณะที่ปรากฏแต่ละลักษณะ เท่านั้นเอง แต่ปรากฏสืบต่อให้จำ ให้มีสัญญาวิปลาสว่าสิ่งนั้นเที่ยง ไม่ได้ดับ แล้วก็ยังเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วย แต่ความจริงแล้วก็เป็นธรรมทั้งหมด ที่มีลักษณะต่างกัน

    สุกัญญา ฟังท่านอาจารย์กล่าวมาแล้ว จริงๆ แล้วก็ทำให้พิจารณาการเห็น ในชีวิตประจำวันว่า จิตที่เห็น พอเห็นเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ก็เป็นสภาพความคิดนึกที่เกิดขึ้นหลังจากการเห็น

    สุ. ถูกต้องค่ะ

    สุกัญญา แต่ท่านอาจารย์คะ ทำให้หมกมุ่นและครุ่นคิดกับการเห็นนั้น

    สุ. ค่ะ เพราะมีเราที่พยายามจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ปกติคือฟังเข้าใจแล้วก็จบ ฟังอีกก็เข้าใจอีก ค่อยๆ สะสมความเข้าใจขึ้น ไม่ใช่ไปเปลี่ยนชีวิตให้เป็นอย่างอื่น ปกติธรรมดา ก็ฟังเรื่องอื่นก็ฟัง ฟังเรื่องไหนก็เข้าใจเรื่องนั้น

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ปกติก็คือฟังเรื่องหนึ่ง ซึ่งทำให้เข้าใจ ต่างกับเรื่องอื่น คือ สามารถเข้าใจความจริงในชีวิตประจำวัน ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นความรู้ของพระองค์ต้องต่างจากความรู้ของบุคคลอื่น มิฉะนั้นไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นความต่าง ก็คือพระปัญญาที่สามารถเมื่อบำเพ็ญพระบารมี ลองคิดดูว่า ทำไมเราไม่รู้ความจริงนี้ เพราะกิเลสมากมายเหลือเกิน มากมายจากอวิชชา ทั้งริษยา ทั้งมานะ ทั้งมัจฉริยะ ทุกอย่างหมดในแต่ละชาติ แล้วจะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏได้อย่างไร ในเมื่อติดแน่นในความไม่รู้ และเห็นเป็นเรื่องเป็นราว ติดอยู่กับเรื่องราวตลอด โดยไม่รู้ว่า แท้ที่จริงก็เพราะมีธรรมซึ่งเกิดดับรวดเร็วโดยไม่รู้ จึงทำให้ยึดถือว่าเป็นเรื่องราวของสิ่งหนึ่งสิ่งใดจริงๆ เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นโลก เป็นญาติพี่น้อง เป็นอะไรๆ ต่างๆ ทั้งหมด แล้วก็ติดอยู่ตรงนี้ เพราะไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วเพราะมีธรรมเกิด แล้วไม่รู้ความจริง แม้ขณะที่นั่งอย่างนี้ ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ไม่รู้ความจริง จึงอย่างไรๆ ก็เป็นสัตว์ เป็นบุคคลที่ยั่งยืน แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เปลี่ยน แต่ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า เมื่อเห็นแล้วก็มีการรู้ คิดถึงสิ่งที่ปรากฏเป็นเรื่องราวต่างๆ จนกว่าเมื่อไรไม่คิด เมื่อนั้นก็ไม่มีอะไรเลย เช่น ขณะที่หลับสนิท ทำไมไม่มีเรื่องอะไร เพียงแต่ได้ยินนิดเดียว แต่ไม่คิด จะมีเรื่องของสิ่งนั้นไหม เพียงแค่มีความรู้สึกเย็นนิดเดียวทางกาย ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ถ้าไม่คิดต่อไป ถ้าร้อน โลกนี้เริ่มร้อน ร้อนขึ้นๆ กำลังจะแย่แล้ว ก็เป็นเรื่องขณะที่กำลังมากระทบสิ่งที่ร้อน และมีความคิดนึกเรื่องร้อน โดยไม่รู้ว่า แท้ที่จริงลักษณะที่ปรากฏ ปรากฏแล้วก็หมดไป แต่ความคิดสืบต่อแต่ละวันๆ จนถึงชาติหนึ่ง พอหมดชาตินี้ไม่ได้หยุดคิด แล้วแต่จะเห็นอะไรชาติต่อไป ก็คิดเรื่องนั้นชาติต่อไป

    สุกัญญา ทำไมความคิดถึงเกิดสืบต่ออย่างยาว

    สุ. ทำไมล่ะคะ ใครไม่ให้จิตเกิดได้บ้าง

    สุกัญญา ไม่ได้

    สุ. ใครไม่ให้จิตคิดได้บ้าง

    สุกัญญา ไม่ได้ค่ะ

    สุ. นี่คือคำตอบ

    สุกัญญา พอฟังธรรมมาถึงปัจจุบันนี้ ก็มีความเข้าใจว่า อันนี้คือสภาพคิดนึก แต่ก็ยังเป็นลักษณะของเราคิดนึก แล้วก็หยุดไม่ได้กับความคิดนึกนั้น

    สุ. เราหยุดไม่ได้ แต่คิด หยุดคิดหรือเปล่า

    สุกัญญา หยุดเอง

    สุ. ใช่ ไม่ต้องไปหยุดคิด

    สุกัญญา แต่ถ้าไปพยายามหยุด ยิ่งไม่หยุดค่ะ

    สุ. ไม่ต้องพยายามเลย หยุดแล้วไม่รู้ต่างหากว่าหยุดแล้ว เห็นไม่ใช่คิด เพราะฉะนั้นเห็นกับคิด คนละขณะ

    สุกัญญา ทุกวันนี้ก็มีความรู้สึกว่า ทุกข์เกิดจากความคิดนึก

    สุ. เลยไม่อยากคิด

    สุกัญญา ไม่คิดก็ไม่ได้

    สุ. ค่ะ เพราะฉะนั้นต้องคิดถูก ไม่ใช่คิดผิดๆ

    สุกัญญา แสดงว่าทุกข์ที่เกิดจากความคิดนึก คือ ความคิดที่ผิด

    สุ. อกุศลจิตเกิดไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม ก็คิดไปตามอกุศลนั้นๆ ตอนนี้ยิ่งเห็นอกุศลเพิ่มขึ้นอีก เดี๋ยวก็ยิ่งหมกมุ่นใหญ่เลยนะคะ ก็เป็นเรื่องธรรมดา


    หมายเลข 12537
    6 ส.ค. 2565