ดับหมดแล้ว แต่ยังมีความคิด ความจำในนิมิต


        ผู้ฟัง ขอถามว่า เวลาที่จิตเกิดที่หทยวัตถุ จะต้องมีอะไรมากระทบ หรือเกิดที่หทยวัตถุได้เลย

        สุ. ขณะนี้ทุกคนมีรูป แล้วจิตจะเกิดที่ไหน จะเกิดนอกรูปได้ไหม ไม่ได้ แต่จิตก็มีหลายประเภท เพราะฉะนั้นในบรรดาจิตทั้งหมดก็ต้องเกิดที่รูป แล้วแต่ว่าจิตไหนเกิดที่รูปไหน อย่างขณะที่เห็นขณะนี้ เราไม่คิดถึงรูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เพราะว่าตามความเป็นจริงไม่มีอะไรเหลือเลย รูปเกิดแล้วดับ มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ และ ๑๗ ขณะนี่ใครจะรู้ ระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยิน จิตเกิดดับเกิน ๑๗ ขณะ แล้วรูปที่เกิดแล้วดับ เมื่อจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ จะเหลืออยู่ที่ไหน

        เพราะฉะนั้นรูปใดที่ไม่ปรากฏ รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้ว ตามสมุฏฐาน เพราะฉะนั้นเวลานี้เราก็จะไม่คิดถึงตัวตนที่เราเคยยึดถือร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่เรากำลังจะพูดถึงธรรม คือ จิตเป็นจิต และในภูมิที่มีรูป ไม่มีจิตใดที่ไม่ อาศัยรูปเกิด หรือว่าไม่ได้เกิดที่รูป จิตต้องเกิดที่รูปหนึ่งรูปใด เพราะฉะนั้นในบรรดารูปทั้งหมด เราจะไม่คิดถึงตัวทั้งตัวตลอด แต่คิดว่า เมื่อจิตต้องเกิดที่รูป ต้องมีรูปที่ตัว ซึ่งเป็นที่เกิดของจิต รูปที่เป็นที่เกิดของจิตไม่ใช่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เพราะเหตุว่าธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ไม่มีรูปใดๆ ทั้งสิ้นที่เป็นรูปต้องเกิดร่วมกับมหาภูตรูป ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เช่นโสตปสาทรูปที่อยู่กลางหู ที่เราใช้คำสมมติ แล้วเป็นรูปที่สามารถกระทบเสียง ต้องกระทบตัว ใช่ไหมคะ แต่ไม่ใช่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มีรูปที่สามารถกระทบกับเสียงซึ่งเกิดดับอย่างเร็วมาก ทั้งเสียง และปสาทรูป

        เพราะฉะนั้นการที่กรรมจะให้ผล จะเห็นความวิจิตรของกรรม สามารถทำให้จิตได้ยินเกิด เพราะว่ามีโสตปสาทรูปที่กระทบเฉพาะเสียง ซึ่งกรรมจะทำให้จิตนั้นเกิดขึ้นได้ยินเสียง ซึ่งมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ซึ่งดับไปอย่างเร็วมาก ใครก็บันดาล หรือเลือกให้ไม่ได้เลยว่า จะได้ยินเสียงอะไร แล้วแต่กรรมถึงกาลที่จะให้ผล เมื่อเสียงนั้นเกิดกระทบกับโสตปสาทรูป เป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิด เพราะฉะนั้นจิตได้ยินเกิดที่โสตปสาทรูป

        เพราะฉะนั้นในบรรดาจิตทั้งหมด ในภูมิที่มีรูป จิต ๑๐ ประเภท คือ จักขุวิญญาณกุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ เกิดที่จักขุปสาทรูป โสตวิญญาณ จิตที่กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้เอง ที่ไม่เคยรู้มาเลย เราคิดถึงตัวเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่ให้คิดถึงรูปท่ามารถกระทบเสียง ขณะนี้กระทบแล้ว และจิตได้ยินเกิดได้ยินเสียงด้วย จิตได้ยินก็เกิดที่โสตปสาทรูป

        นี่คือการที่เราจะเข้าใจว่า ทั่วทั้งตัวเป็นที่เกิดของจิตอะไรบ้าง สำหรับหทยวัตถุ เว้นจิต ๑๐ ประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็นโลภมูลจิต โทสมูลจิต กุศลจิตใดๆ ทั้งสิ้น เกิดที่หทยรูป ไม่จำเป็นต้องคิดว่าอยู่ที่ไหนอย่างไร แต่ว่าเป็นรูปที่เป็นที่เกิดของจิต ซึ่ง ณ ที่นั้นก็ต้องมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ว่าธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ใช่หทยรูป แต่หทยรูปก็ไม่ได้แยกจากดิน น้ำ ไฟ ลม แต่รูปที่เป็นที่เกิดของจิต ภาษาบาลีก็ใช้คำว่า “หทยรูป” เป็นหทยวัตถุ เป็นที่เกิดของจิต

        ผู้ฟัง คือดิฉันสงสัย เพราะไม่เคยได้ยินใครพูดว่า หทยวัตถุ ทำให้เกิดจิตได้อย่างไร

        สุ. ไม่ใช่ทำให้เกิดจิตค่ะ กรรมเป็นปัจจัยให้หทยรูปเกิดร่วมกับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งกรรมเป็นปัจจัยให้เกิด เพราะฉะนั้นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นมหาภูตรูป ๔ ซึ่งต้องมีรูปที่ไม่แยกกันเลยอีก ๔ รูปเกิดร่วมด้วย คือ สี กลิ่น รส โอชา นี่เป็นปกติของรูป ๘ รูป ซึ่งแยกกันไม่ได้เลย แต่เมื่อกรรมทำให้รูปใดเกิด ก็จะมีชีวิตินทรียรูป หรือจะเรียกสั้นๆ ว่า ชีวิตรูป ๑ รูปเกิดร่วมด้วย ทำให้รูปนั้นต่างจากรูปอื่น ซึ่งไม่ได้เกิดจากกรรม ซึ่งไม่ใช่รูปที่ทรงชีวิต หรือมีชีวิต อย่างต้นไม้ใบหญ้า ไม่มีชีวิตรูป ไม่มีชีวิตินทรียรูป เพราะเหตุว่ากรรมไม่ได้เป็นปัจจัยให้รูปนั้นเกิด แต่ที่ใดก็ตามที่มีโสตปสาทรูป หรือจักขุปสาทรูปร่วมด้วยอีก ๑ กลุ่มของรูปนั้นก็เพิ่มเป็น ๑๐ รูป คือ นอกจากมหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ซึ่งใช้คำว่า อุปาทายรูป ๔ และมีชีวิตรูป หรือชีวิตินทรียรูป ๑ แล้วยังมีจักขุปสาทรูป ๑ ในกลุ่มนั้นที่เล็กที่สุด และจักขุปสาทรูปก็เป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นกลุ่มที่ไม่มีจักขุปสาทรูป ก็จะมีหทยรูปอีก ๑ รูป กับชีวิตินทรียรูปอีก ๑ รูป แต่ว่าจิตอื่นทั้งหมดจะเกิดที่หทยรูป

        ผู้ฟัง อย่างนั้นหทยรูปเกิดขึ้น และดับไป

        สุ. ทั้งหมดเลยค่ะ ไม่มีอะไรเที่ยงเลย และมีกรรมเป็นสมุฏฐาน ทำให้รูปนั้นเกิด

        ผู้ฟัง คือเดิมทียังเข้าใจว่า หทยรูปตั้งอยู่ไม่ได้ดับ และจิตวนเวียนเกิดขึ้นที่หทยรูป

        สุ. เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ฟังแล้วก็เข้าใจว่า ที่เราเคยคิดเองไม่ใช่ธรรมที่เป็นจริง เพราะเหตุว่าใครจะคิดธรรมได้ ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงตรัสรู้ความจริง

        ผู้ฟัง อย่างนั้นถ้าพิจารณาตามสิ่งที่เป็นจริง ก็ไม่มีอะไรเหลือเลย

        สุ. ไม่เหลือเลยค่ะ ทั้งนามธรรม และรูปธรรม ที่เกิดแล้วดับหมด อย่างรวดเร็วด้วย เพราะฉะนั้นเหลืออะไรคะ นอกจากความคิด ความจำในนิมิต ในสิ่งที่ปรากฏ ทำให้เข้าใจว่า ยังมีอยู่ ตอนหลับสนิทมีอะไรเหลือ มีชื่อเหลือไหมคะ ชื่ออะไร มีทรัพย์สมบัติไหม มีญาติพี่น้องไหม ไม่มีเลยใช่ไหมคะ ก่อนจะหลับมีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีความทรงจำ มีเรื่องราวต่างๆ ชั่วขณะที่จิตเกิดขึ้นแล้วก็คิด แล้วก็จำ แล้วก็ปรุงแต่งไปด้วยเจตสิกต่างๆ แต่ทุกขณะดับหมดอย่างเร็ว แล้วไม่กลับมาอีกเลย

        เพราะฉะนั้นจึงมีขณะที่ไม่มีอะไรปรากฏเลย เมื่อไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้คิดนึก ก็ไม่มีอะไร ไม่มีแม้แต่เรา หรือชื่อของเรา หรือบ้านของเรา หรือสมบัติของเรา ขณะนั้นก็แสดงว่าก่อนจะถึงขณะนี้ต้องมีจิตเกิดก่อนแล้วดับ ทั้งวัน เกิดแล้วก็ดับไป เกิดแล้วก็ดับไป สืบต่อ แล้วก็หมดไป ความจริงก็คือไม่มีอะไรเหลือ แล้วก็เกิดใหม่อีก ยึดติดอีก เข้าใจว่ามีอีก เข้าใจว่าเป็นเราอีก จนกว่าปัญญาจะเกิดขึ้นค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง


        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 359


    หมายเลข 12515
    16 ม.ค. 2567