ลักษณะที่เป็นนามธาตุกับรูปธาตุ


        ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่าต้องแยกให้ชัดเจนว่า ขณะที่เห็น สภาพรู้ไม่สว่าง มืด และขณะที่สว่างคือขณะไหนหรือครับ

        สุ. จิตมีจริงๆ เป็นธาตุรู้ ถ้ามีแต่โลกที่เป็นโอกาสโลก ไม่มีสภาพรู้เลย ก็ไม่มีใครสามารถเห็น รู้ว่าอะไรมี เป็นอย่างไร ได้เลยทั้งสิ้น แต่ธาตุทั้งหลายไม่ได้มีแต่เฉพาะรูปธาตุ ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงความเป็นธาตุว่า ไม่ให้มีธาตุนี้ หรือให้มีแต่ธาตุนั้น ธาตุเป็นธาตุ เพราะฉะนั้นไม่ได้มีแต่เฉพาะรูปธาตุ มีนามธาตุซึ่งเป็นธาตุรู้ด้วย

        นี่เป็นสิ่งที่เราต้องเข้าใจถึงความต่าง รูปธาตุจะเป็นนามธาตุไม่ได้เลยด้วยประการใดๆ ทั้งปวง นามธาตุสักนามธาตุเดียวก็จะเป็นรูปธาตุไม่ได้เลย

        เพราะฉะนั้นนามธาตุปลอดจากรูปโดยประการทั้งปวง เป็นธาตุรู้ล้วนๆ เวลาเกิดขึ้นต้องรู้ ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน อย่างไรทั้งสิ้น กำลังหลับสนิท ยังไม่ตาย มีจิตเป็นธาตุรู้ แม้ว่าอารมณ์ขณะที่กำลังหลับสนิทไม่ได้ปรากฏเหมือนตอนตื่น แต่เมื่อเป็นธาตุรู้เกิดขึ้น ก็จะไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น

        เพราะฉะนั้นในขณะที่เสียงปรากฏ เสียงเป็นรูปธาตุ ลักษณะของเสียงเป็นอย่างนี้ที่กำลังปรากฏทางหู เพราะมีธาตุที่กำลังได้ยิน เวลาพูดถึงนามธาตุเป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนไม่ได้คิดถึงเลย ทุกคนเพียงแต่บอกว่ามีจิต อาจจะบอกว่ามีวิญญาณ แต่ก็ไม่รู้ลักษณะจริงๆ ของสภาพนั้นคืออย่างไร แต่นั่นคือความไม่ชัดเจน เพราะความไม่รู้จริง แต่เมื่อเป็นการรู้จริง ทรงแสดงจริง ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ไม่เคยคิดมาก่อนเลย แต่ก็เริ่มเข้าใจได้ว่า สิ่งที่เราพูดบ่อยๆ สิ่งที่เราเรียกว่า “จิต” จริงๆ แล้วลักษณะแท้จริงคืออะไร มีจริงๆ ไม่มีรูปร่างใดๆ ไม่มีสีสันวัณณะ ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลย เป็นธาตุรู้ล้วนๆ เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเมื่อเป็นธาตุรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกจิตรู้ ใช้คำว่า “อารัมมณะ” หรือ “อารัมพนะ” จะมีจิตเกิดขึ้นโดยไม่มีอารมณ์ ในภาษาไทย หรือ อารัมมณะ ในภาษาบาลีไม่ได้ จะมีอารัมมณะ โดยไม่มีจิตไม่ได้

        เสียงปรากฏกับจิตได้ยิน สงสัยในลักษณะของเสียงไหมคะ

        ผู้ฟัง ไม่สงสัยครับ

        สุ. ไม่สงสัยนะคะ เพราะว่าเสียงกำลังปรากฏ แล้วถ้าไม่มีธาตุที่กำลังได้ยิน เริ่มคิดถึงธาตุที่ได้ยินแล้ว ไม่ใช่เสียง เพราะฉะนั้นธาตุที่ได้ยินที่กำลังรู้ลักษณะของเสียง เพราะว่าเสียงแต่ละเสียงมีลักษณะต่างๆ กัน ไม่เหมือนกันเลย ที่จำกันได้ว่าเป็นเสียงคนนั้นคนนี้ เพราะเหตุว่าลักษณะของเสียงซึ่งเป็นรูป หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง เลวบ้าง ประณีตบ้าง ก็แล้วแต่ ที่จะจำแนกไปเป็นลักษณะต่างๆ ถึงความหลากหลาย เสียงเป็นเสียง แต่สภาพที่รู้เสียงนั้น ในลักษณะของเสียงนั้น เพราะกำลังได้ยินเสียงนั้นต้องมี มิฉะนั้นเสียงไม่ปรากฏ ธาตุรู้หรือสภาพรู้ มีสีสันวัณณะอะไรหรือเปล่า

        ผู้ฟัง ธาตุรู้

        สุ. ที่กำลังได้ยินเสียง

        ผู้ฟัง ไม่มีสีสันวัณณะ

        สุ. เขียวหรือแดง

        ผู้ฟัง ไม่มีทั้งเขียวทั้งแดง

        สุ. ไม่มีสีสันใดๆ หอมหรือเหม็น

        ผู้ฟัง ไม่มีหอมหรือเหม็น

        สุ. ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลย เป็นธาตุที่มืดสนิทไหม

        ผู้ฟัง มืดครับ

        สุ. เพราะฉะนั้นขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาสว่าง วัณณธาตุ แต่จิตที่กำลังเห็น สภาพเห็น ธาตุรู้ แยกออกจากสิ่งที่ปรากฏทางตา สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างหนึ่ง ลืมตาเมื่อไร มีจิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งนี้ก็ปรากฏ เปลี่ยนไม่ได้เลยในแสนโกฏิกัป ต่อไปข้างหน้า สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นสิ่งนี้แหละ เหมือนที่ปรากฏในขณะนี้ จะเปลี่ยนเป็นอื่นไม่ได้ จะเปลี่ยนเป็นกลิ่น จะเปลี่ยนเป็นเสียงไม่ได้ มีลักษณะที่กำลังปรากฏให้เห็น กำลังถูกเห็น กำลังมีสภาพเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แต่ลักษณะของสภาพเห็นต้องมืดสนิท เหมือนกำลังได้ยินเสียง

        ผู้ฟัง ถ้าเสียงไม่สว่าง ธาตุเห็นจะทำกิจอะไรครับ

        สุ. เดี๋ยวนี้อะไรสว่าง

        ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตา

        สุ. สิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่มีจิตเห็นสิ่งนี้ สิ่งนี้ปรากฏได้ไหม

        ผู้ฟัง ไม่ได้

        สุ. เพราะฉะนั้นต้องแยกจิตที่กำลังเห็นออกจากสิ่งที่ปรากฏทางตา เหมือนแยกเสียงกับจิตที่ได้ยินเสียง เสียงเป็นเสียง จิตที่ได้ยินเสียงเป็นจิต ไม่ใช่เสียง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ก็ไม่ใช่จิต แต่เป็นสิ่งที่ปรากฏกับจิตที่กำลังเห็น

        ผู้ฟัง นามธรรมที่เห็น ขณะนั้นไม่สว่าง

        สุ. ตัวนามธรรมมืดตลอดกาลค่ะ ไม่มีสีสันใดๆ

        ผู้ฟัง ขณะที่นามธรรมเห็น ขณะนั้นทำกิจอะไรครับ ถ้าไม่เห็นสว่าง

        สุ. ทำกิจเห็นสิ่งที่ปรากฏที่สว่าง ตัวจิตไม่ได้สว่าง ตัวจิตเป็นธาตุรู้ เหมือนได้ยินเสียง เสียงก็ไม่สว่าง อยู่ในห้อง และตอนกลางคืนดับไฟ แต่ลืมตา เห็นมืดไหม

        ผู้ฟัง เห็นมืดเท่านั้นเองครับ

        สุ. คนที่ตาบอดมีทางที่จะเห็นมืดอย่างคุณนิรันดร์เห็นในห้องมืดไหมคะ

        ผู้ฟัง คนตาบอด เขาก็มืดเหมือนกัน

        สุ. จะเหมือนไหมกับคนที่ตาดี แต่ปิดไฟในห้องมืด

        ผู้ฟัง ก็คงไม่เหมือน

        สุ. ไม่เหมือน กำลังหลับสนิทเห็นมืดหรือเปล่า

        ผู้ฟัง ไม่เห็นครับ

        สุ. ค่ะ นี่คือความต่างกันตามลำดับขั้น มีจิตจริง ใครก็จะทำลายไม่ให้จิตเกิดไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยจิตต้องเกิดดับสืบต่อ ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามแต่ จิตเป็นธาตุซึ่งเมื่อเกิด และดับไป ตัวจิตเป็นอนันตรปัจจัย ทันทีที่จิตนั้นดับหมด ปราศไป ไม่เหลือเลย เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ใครก็ยับยั้งไม่ได้

        เพราะฉะนั้นขณะที่นอนหลับสนิท ไม่มีการเห็นการได้ยิน คิดนึกใดๆ ก็ไม่มี แต่มีจิตเกิดดับดำรงภพชาติ เพราะฉะนั้นขณะนั้นที่กำลังหลับสนิท เห็นมืดไหม

        ผู้ฟัง ไม่เห็นครับ

        สุ. ไม่กล่าวถึงเห็น ขณะที่นอนหลับสนิท มืดไหม

        ผู้ฟัง มืดครับ

        สุ. ทำไมรู้ละคะ หลับสนิท

        ผู้ฟัง ก็เพราะไม่เห็นอะไรเลย

        สุ. เพราะฉะนั้นหลับสนิทต่างกับขณะตื่นแล้ว เพราะฉะนั้นความที่สภาพธรรมปรากฏจริงๆ จะต่างกันแค่ไหน ธาตุรู้มี ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น เปลี่ยนลักษณะของธาตุรู้ได้ไหม

        ผู้ฟัง ไม่ได้ครับ

        สุ. ไม่ได้เลย เมื่อธาตุรู้เกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ขณะที่ไม่รู้อารมณ์ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่มีอะไรปรากฏเลย ถูกต้องไหมคะ

        ผู้ฟัง ขณะที่ไม่รู้อารมณ์ทางหู

        สุ. ไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การคิดนึก ขณะนั้นมีอะไรปรากฏไหม ไม่คิด ไม่ฝัน

        ผู้ฟัง ก็ไม่มีอะไรปรากฏเลย

        สุ. แต่มีจิตไหม

        ผู้ฟัง มีจิตอยู่

        สุ. นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความต่างกันของธาตุรู้ แม้ว่ามี เกิดดับ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ให้เกิดไม่ได้เลย แต่ขณะนั้นไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่รู้ว่ามีธาตุรู้ เพราะฉะนั้นการรู้ธาตุได้ ไม่ใช่หลับสนิท เพราะว่าจะต้องรู้ทางมโนทวาร

        นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แม้แต่สิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน เราก็ต้องรู้ความต่างกันจริงๆ ตามความเป็นจริง หลับสนิทมีจิตเป็นธาตุรู้ ไม่มีสีสันใดๆ เลยปรากฏ แต่มีธาตุรู้ เพราะฉะนั้นเวลาที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เฉพาะธาตุรู้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม เป็นธาตุรู้ แต่ต่างกันที่ว่า กำลังเห็นเพราะอาศัยตา จึงมีธาตุอีกชนิดหนึ่ง ใช้คำว่า “จักขุวิญญาณธาตุ” นี่เป็นการจำแนกธาตุรู้ออกไป ต่างกันเป็น ๗ ประเภท คือ จักขุวิญญาณธาตุ เป็นธาตุที่อาศัยจักขุปสาท อาศัยสิ่งที่ปรากฏทางตากระทบกัน เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น เป็นธาตุที่เป็นเพียงธาตุเห็น จะเป็นธาตุอื่นไม่ได้ ไม่ใช่ธาตุได้ยิน ไม่ใช่ธาตุคิดนึก แต่ธาตุนี้เกิดเมื่อไร คือ ทำกิจเห็น เป็นจิตประเภทหนึ่ง เป็นธาตุชนิดหนึ่ง คือ ให้เห็นความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา

        เพราะฉะนั้นในขณะที่เรากำลังเห็นจริงๆ ธาตุรู้ ก็คือมืดสนิท เหมือนเดิม เป็นธาตุรู้เหมือนเดิมด้วย แต่กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏ คือ เห็น

        เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า มีจิตหลายประเภท และทำกิจต่างๆ กัน

        ผู้ฟัง ท่านอาจารย์จะให้ผมเข้าใจตรงจุดไหน ผมจะได้

        สุ. เข้าใจธาตุก่อนว่า มี ๒ อย่าง คือ รูปธาตุกับนามธาตุ และความต่างกันโดยสิ้นเชิง รูปมีหลากหลาย รูปที่ปรากฏทางตาก็อย่างหนึ่ง รูปที่ปรากฏทางหูก็อีกอย่างหนึ่ง รูปที่ปรากฏทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็แต่ละอย่างไป ไม่ใช่นามธาตุ ไม่ว่าเราจะมองไม่เห็น เช่น เสียง เสียงเป็นเสียง จะเป็นนามธาตุไม่ได้

        เพราะฉะนั้นแยกลักษณะที่เป็นนามธาตุกับรูปธาตุ รู้ว่าเป็นธาตุที่ต่างกัน มีจริงๆ ทั้ง ๒ อย่าง นามธาตุก็มี รูปธาตุก็มี เพื่อให้เห็นภาวะซึ่งใครก็ไปสร้าง ไปเปลี่ยน ไปทำอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น จะเปลี่ยนแปลงลักษณะของธาตุไม่ได้ เพราะธาตุเป็นธาตุ เป็นธรรม เพราะฉะนั้นเวลานี้สามารถเข้าใจความต่างของธาตุ ๒ ประเภท คือ นามธาตุกับรูปธาตุ

        ผู้ฟัง ที่อาจารย์บอกว่า เวลาอยู่ในห้องมืด และหลับตา ถามว่าเห็นไหม ผมก็ตอบว่า อันนั้นเห็นสิ่งที่มืด และอาจารย์ก็ถามว่า ขณะนั้นมีจิตเห็นสีไหม

        สุ. เห็นมืด ซึ่งต่างกับคนตาบอด คนตาบอดมีจิต แต่ไม่มีจิตประเภทที่เป็นจักขุวิญญาณธาตุ หรือจิตเห็น

        ผู้ฟัง แล้วคนตาบอดเห็นมืด นั่นคือเห็นอะไร

        สุ. คนตาบอดได้ยินเสียง คนตาบอดได้กลิ่น คนตาบอดลิ้มรส คนตาบอดรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คนตาบอดคิดนึก แต่คนตาบอดไม่เห็น ไม่มีธาตุเห็นเลย มีนามธาตุอื่นได้ทั้งหมด เว้นจักขุวิญญาณธาตุ

        ผู้ฟัง และขณะที่คนตาบอดมืด ขณะนั้นไม่ใช่มืดที่เป็น

        สุ. ก็เป็นจิต จิตนั้นมืดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดเลย เป็นนามธาตุ จิต เจตสิกเป็นนามธาตุ สิ่งที่เราเห็นมืด เห็นเป็นจิต แต่สภาพที่ไม่สว่าง แต่ปรากฏทางตาได้ มี หลับตาแค่นี้ ปรากฏแล้ว

        ผู้ฟัง ขณะที่หลับตาแล้วมืด ไปอยู่ในห้องที่มืด ขณะนั้นมีจิตเห็นสิ่งที่มืด

        สุ. คุณนิรันดร์จะตอบให้ถูก หรือว่าตามความเป็นจริง คือ เห็นหรือไม่เห็น

        ผู้ฟัง หมายถึงขณะไหนครับ

        สุ. ขณะหลับตาเดี๋ยวนี้

        ผู้ฟัง เห็นสิ่งที่มืดครับ

        สุ. ค่ะ เห็นสิ่งที่มืด ก็คือมีจักขุวิญญาณ มีรูปารมณ์แน่ๆ แต่ไม่มีแสงสว่างที่จะทำให้เห็นลักษณะสีสันต่างๆ แต่จักขุวิญญาณต้องมี เพราะเห็น จะปฏิเสธไม่ได้ ถ้าออกไปกลางแจ้ง ก็ยิ่งเห็นแสงที่อาจจะแรงกว่านี้ แต่ไม่ใช่สีสันวัณณะต่างๆ

        นี่เป็นการเข้าใจในการในความเป็นธาตุแต่ละธาตุ ไม่ใช่เรา หรือว่าไม่ใช่จะต้องเป็นอย่างที่เราคิด แต่เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริงในความต่าง

        ผู้ฟัง แล้วขณะที่หลับตา หรืออยู่ในห้องที่มืด แล้วขณะนั้นเห็นสิ่งที่มืด แล้วจะต่างอะไรกับลืมตาแล้วเห็นสิ่งที่สว่าง

        สุ. แน่นอน เพราะไม่มีแสงสว่างที่จะทำให้สีต่างๆ ปรากฏ เป็นเขียว เป็นแดง เป็นเหลือง เป็นธาตุ เป็นสัณฐานต่างๆ

        ผู้ฟัง แล้วแสงเข้ามาเป็นปัจจัยอะไร

        สุ. ทำให้สีสันวัณณะต่างๆ ปรากฏ เป็นสีสันวัณณะต่างๆ เห็นเป็นเห็น จะเห็นมากเห็นน้อย เห็นมืด เห็นสว่างอย่างไร ก็คือเห็นที่ต้องจักขุปสาท

        ผู้ฟัง ไม่ว่าจะมีแสงมาประกอบ หรือไม่มีแสงมาประกอบ

        สุ. ถูกต้องค่ะ เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น

        ผู้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นมืดหรือสว่าง

        สุ. อะไรก็ตามแต่ถูกเห็น

        ผู้ฟัง แต่ขณะที่หลับสนิท

        สุ. มีจิต

        ผู้ฟัง แต่ขณะนั้นไม่เห็นมืดหรือสว่างอะไรเลย

        สุ. ไม่มีอะไรปรากฏเลยทั้งสิ้น เพราะว่าจิตขณะนั้นไม่ได้ทำกิจเห็น ไม่ได้ทำกิจได้ยิน ไม่ได้ทำกิจได้กลิ่น ไม่ได้ทำกิจลิ้มรส ไม่ได้ทำกิจรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ได้ทำกิจคิดนึก จึงต้องรู้ว่าขณะนั้นเป็นภวังคจิต ไม่ใช่ไม่มีจิต แต่มีจิตที่ทำภวังคกิจ ดำรงภพชาติ ยังไม่สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ และไม่นานก็ต้องเห็นอีก ได้ยินอีก เพราะฉะนั้นหลับไปก็ตื่นขึ้นมา ก็เป็นอกุศลทั้งวัน แล้วก็หลับไปอีก แล้วก็ไม่เหลืออะไรเลย ตื่นขึ้นมาก็สะสมอกุศลไปอีกทั้งวัน ทางตาบ้าง หูบ้าง

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 353


    หมายเลข 12493
    16 ม.ค. 2567