ขณะนี้เอง เหมือนพยับแดด


        สุ. แต่ปัญจทวาราวัชชนะทางตา ขณะนี้เกิดก่อนจักขุวิญญาณที่เห็น แล้วใครจะรู้ความละเอียดของความเป็นธรรม ซึ่งถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงโดยละเอียดจริงๆ ให้มีการสะสมความเข้าใจในความเป็นอนัตตา ที่จะเห็นว่า ธรรมเป็นอนัตตา เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้ความละเอียด และเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า จริงๆ แล้ว แต่ละขณะเป็นอนัตตาอย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา และที่ละเอียดยิ่งสำหรับคนที่ไม่สามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ทันที เพราะว่าสะสมมาไม่พอ แต่ผู้ที่กำลังสะสม ถ้าสะสมด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความเป็นเรา ไม่มีทางที่จะดับกิเลสได้เลย แต่เมื่อฟังแล้วก็คือว่า ฟังให้เข้าใจถูกต้องว่า ฟังธรรมเพื่อรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นเรา ด้วยเหตุนี้คงไม่ลืม ปัญจทวาราวัชชนจิต และมโนทวาราวัชชนจิต เป็นกิริยาจิตทั้ง ๒ และเกิดขึ้นเป็นวิถีจิตแรกทั้ง ๒ แต่ต่างกันที่มโนทวาราวัชชนจิตมีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ปัญจทวาราวัชชนจิตแม้ทำกิจอาวัชชนะ แต่ไม่ต้องมีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย

        ในขณะนี้จิตเกิดขึ้น และมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยต่างขณะกันไปมากมาย จิตขณะนี้ดับไป มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นสืบต่อ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร แต่ไม่รู้เลย แต่การเข้าใจถูกขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก็จะทำให้ไม่สะสม และเห็นความละเอียดจริงๆ ว่า ใครรู้ได้ ก่อนที่จะได้ฟังธรรม เราก็บูชาพระรัตนตรัย แต่ใครรู้ได้ ธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ต้องมาจากการตรัสรู้ และการทรงแสดง เพื่ออนุเคราะห์คนที่ยังไม่เข้าใจธรรมให้เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ฟังแล้วจะบรรลุมรรคผลเมื่อไร ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย แต่กว่าจะได้เข้าใจตามความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อยสะสมไป ยิ่งฟังก็ไม่ใช่เพียงเพื่อเรารู้ แต่เพื่อประพฤติปฏิบัติตาม คือ ขัดเกลากิเลส และความไม่รู้

        เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ ไม่ว่าจะฟังอุปมาหรือพยัญชนะใดๆ ก็สามารถเข้าใจได้ว่า ขณะนี้เอง เหมือนพยับแดด ไม่ต่างกันเลย มีสิ่งที่ทำให้เข้าใจว่า เหมือนมีสิ่งนั้น เที่ยง แต่จริงๆ แล้วหามีไม่ เพราะว่าเกิดแล้วดับแล้วทั้งหมด มีแต่การสืบต่อที่เหมือนกับนิมิตของพยับแดดที่ทำให้เหมือนกับมีน้ำอยู่ แต่พอเข้าใกล้แล้วก็หายไป เพราะฉะนั้นขณะที่ยังไม่ได้เข้าใกล้ธรรม ก็เหมือนมีธรรมที่เที่ยง แต่ถ้าเข้าใกล้จริงๆ จะรู้ได้ว่า ธรรมแต่ละลักษณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ก็ต้องเป็นการอบรมเจริญปัญญาถึงระดับที่สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งมีผู้ที่ได้รู้แล้ว และคำที่ได้กล่าว เป็นคำจริงทั้งหมด เมื่อเป็นคำจริง และธรรมก็มีอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ขาดธรรมเลย ไม่ว่าจะขณะใดก็ทั้งสิ้น เห็นก็เป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม คิดนึกก็เป็นธรรม แต่ไม่รู้ธรรม หรือบางคนก็ไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังเลย แต่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังก็ยังสงสัยว่า แล้วจะมีประโยชน์อะไร นั่นคือไม่ได้เข้าใจเลย ประโยชน์ก็คือว่า ได้รู้ความจริง ถ้ารู้ความจริงแล้ว ยังคงติดข้องยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นเราหรือเปล่า และถ้าไม่มีการติดข้องยึดถือว่าเป็นเรา หรือเป็นของเรา ความทุกข์จะน้อยลงไหม จนสามารถดับได้ตามลำดับขั้น

        เพราะฉะนั้นเวลาที่ทุกคนมีความทุกข์แล้วอยากหมดทุกข์ แต่ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม แล้วจะดับทุกข์ได้อย่างไร แต่ถ้ารู้ความจริงขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ความทุกข์ซึ่งเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ก็จะค่อยๆ บรรเทาลง

        อันนี้ต่อจากปัญจทวาราวัชชนะ และมโนทวาราวัชชนะ แต่จริงๆ แล้วยังไม่ได้กล่าวถึงต่อจากมโนทวาราวัชชนะ เพียงแต่หลังจากภวังคจิต ซึ่งเป็นภวังคจลนะ และ ภวังคุปัจเฉทะดับไปแล้ว วิถีจิตแรกคือปัญจทวาราวัชชนะ ทาง ๕ ทวาร และจิตนี้ก็ต้องดับ และเมื่อดับไปแล้ว ก็มีจิตที่ทำให้กิจเห็นทางตา ขณะนี้ หรือทำกิจได้ยินขณะนี้ แค่ ๒ วิถีก่อน

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 346


    หมายเลข 12464
    23 ม.ค. 2567