จำแล้วคิดจึงยากต่อการเข้าใจว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ


        สุ. ถ้าขณะนี้จะกล่าวว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ยากที่จะเชื่อ เพราะเคยจำไว้แน่นหนาว่า เป็นแน่นอน แต่สิ่งที่ปรากฏทางตานั้นอย่างหนึ่ง เพราะปรากฏ ส่วนการทรงจำรูปร่างสัณฐาน และคิดถึงสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ขณะที่กำลังรู้ความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏเพียงปรากฏ เป็นอื่นไม่ได้เลย กว่าจะไถ่ถอนความเห็นผิด ก็คิดดูว่า ต้องเป็นความรู้จริงที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

        ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ปฏิเสธที่จะบอกว่า ไม่มีคน และสัตว์ แต่ไม่ใช่ขณะที่เห็นหรือไงคะ

        สุ. ถ้าไม่มีการเกิดดับสืบต่อ จะสามารถจำได้ไหมว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร แต่ขณะที่มีการจำได้ มีการยึดถือมั่นคงหรือเปล่า ว่าเป็นสัตว์ บุคคลที่เที่ยง ถ้ายังคงมีความยึดถืออย่างมั่นคง ขณะนั้นเป็นอัตตานุทิฏฐิ ความเห็นคล้อยตามความคิดความเข้าใจว่า มีตัวตน หรือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการเกิดดับสืบต่อ เพียงปรากฏนิดเดียวแล้วหมดไปตามความเป็นจริง จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร แต่เมื่อปัญญายังไม่ได้ประจักษ์ความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏเพียงปรากฏแล้วหมดไป ก็ไม่สามารถมีความเห็นถูกต้องได้ว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเป็นอย่างนั้นจริงๆ ส่วนจิตที่เกิดต่อมาก็สามารถทรงจำคิดนึกว่า สิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นอะไร

        เพราะฉะนั้นผู้ที่ดับกิเลสแล้ว ก็ยังเห็นตามความเป็นจริงว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร แต่เพราะเหตุว่าที่ได้ประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป เห็นธรรมที่เป็นอนัตตา ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ประจักษ์แจ้งจนกระทั่งละคลายการยึดถือสภาพธรรมนั้น จึงรู้ความต่างกันของขณะที่เห็น และรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยที่ไม่มีการยึดมั่นเห็นผิดในสิ่งนั้นเหมือนเดิมที่เคยไม่รู้

        ผู้ฟัง ตรงนี้ทำให้เราเข้าใจได้ยาก ก็กล่าวแล้วว่า สภาพธรรมเกิดแล้วดับ ก็ควรจะจบกันไป แต่มีสัญญาที่ไปจำอีก ตรงนี้เลยทำให้เราเข้าใจไม่ได้ว่า มันเกิดแล้วดับไป

        สุ. ค่ะ เพราะเป็นธรรม ก็จบไม่ได้ เพราะว่าไม่ใช่เรา จะไปจบอะไร จิตที่เกิดขึ้นดับไปแล้ว การปราศไป หมดไปของจิตขณะก่อน เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดพร้อมเจตสิก ตามการสะสมที่ได้สะสมมาแล้ว ไม่มีใครสามารถจะไปยับยั้งได้ นอกจากปัญญาถึงระดับขั้นของการพระอรหันต์ ดับกิเลสหมด เมื่อจิตขณะสุดท้ายดับ ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้มีสภาพธรรมใดๆ เกิดได้เลย แต่ผู้ที่ยังไม่มีปัญญาระดับนั้นกว่าจะเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ฟังไปๆ ๆ ค่อยๆ เข้าใจทีละนิดทีละหน่อย เมื่อไรจะคล้อยตามความเป็นจริงแล้วไม่ยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏ เพราะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เพียงแค่รู้ว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏ ก็ยาก ใช่ไหมคะ ก็เป็นจริง ก็จะต้องค่อยๆ อบรมไป เมื่อความเห็นถูกเป็นอย่างไร ค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 316


    หมายเลข 12322
    24 ม.ค. 2567