ขณะที่เป็นความเห็นผิด เป็นความเห็นผิด


        อ.ธิดารัตน์ ความเข้าใจสภาพจิตก็ต้องเป็นสภาพรู้ แต่เวลาที่จะรู้ลักษณะของจิตเห็นกับจิตได้ยิน จะมีลักษณะที่ต่างกันอย่างไร เพราะโดยลักษณะของจิตก็ต้องเป็นสภาพรู้อย่างเดียว

        สุ. ค่ะ จิตเป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ และมีทางรู้อารมณ์ ๖ ทาง คือ ทางตา ขณะนี้จิตกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏ ทางหู เวลาเสียงที่ปรากฏ ก็คือจิตได้ยินเสียงนั้น เวลาที่กลิ่นปรากฏ คือจิตกำลังได้กลิ่น รสปรากฏ จิตกำลังลิ้มรส เย็นร้อนอ่อนแข็งที่ปรากฏทางกายเพราะจิตกำลังรู้สิ่งนั้น

        เพราะฉะนั้นจิตเป็นธาตุรู้ หรือเป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้นเวลาที่จะรู้ลักษณะของจิต ขณะนั้นไม่ใช่รู้ลักษณะของอารมณ์ แต่จะไม่ให้จิตเห็นเกิดขึ้น แล้วจะไปรู้ลักษณะของจิตเปล่าๆ โดยไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือจะไปให้รู้ลักษณะของจิตเปล่าๆ โดยไม่คิดนึก ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อจิตสามารถรู้อารมณ์ได้ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง ก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นจิตกำลังมีอะไรเป็นอารมณ์ก็ตาม แต่ว่าสติสัมปชัญญะจะรู้ลักษณะของธาตุรู้ ซึ่งกำลังรู้สิ่งนั้น

        เพราะฉะนั้นก็สามารถค่อยๆ เข้าใจธาตุ หรือลักษณะของจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ซึ่งขณะนั้นไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีอารมณ์ปรากฏ แต่ว่าขณะนั้นไม่ได้สนใจที่จะรู้ลักษณะของอารมณ์ แต่สามารถจะเข้าใจถูกในธาตุที่กำลังเห็นขณะนี้ ซึ่งเวลาที่ได้ยินก็เป็นธาตุที่กำลังได้ยิน เพราะฉะนั้นลักษณะของจิตจึงเป็นธาตุรู้ หรือสภาพรู้ ซึ่งจะปรากฏลักษณะของจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ว่าไม่เป็นอื่นทางมโนทวารเท่านั้น ซึ่งขณะนั้นจะไม่มีสิ่งอื่นเจือปน

        ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจิตจะรู้อะไรก็ตาม ขณะไหนก็ตาม ผู้ที่สามารถประจักษ์ลักษณะของธาตุรู้ ก็ย่อมสามารถเข้าถึงลักษณะของธาตุรู้ซึ่งกำลังทำกิจนั้นๆ ได้

        อ.ธิดารัตน์ โดยลักษณะของรูปธรรม ก็เหมือนกันใช่ไหมคะ เวลาที่จะรู้ลักษณะของรูปธรรมก็จะต้องระลึกในลักษณะของรูปธรรมเท่านั้น จะไม่ได้รวมนามธรรมหรือสภาพรู้เข้าไป เพราะว่าอย่างผู้ศึกษา ความเข้าใจยังไม่สามารถแยกขาดระหว่างสภาพของนามธรรมกับรูปธรรมได้ชัดเจน เวลาสนทนาก็มีความสงสัยอย่างนี้ค่ะ

        สุ. ค่ะ ด้วยเหตุนี้การฟังจึงต้องเป็นผู้เข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคงในความต่างของนามธรรม และรูปธรรม เพราะว่าจะปราศจากกันไม่ได้ อย่างเห็น ต้องมีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาคืออะไร นี่คือกำลังเข้าใจลักษณะของสภาพหรือธาตุที่เป็นวัณณธาตุ ที่สามารถปรากฏทางตาในขณะนี้ คือ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งก่อนนั้นเห็นทีไรก็ต้องเป็นคน เป็นสัตว์ ทุกครั้งไป แต่ว่าเวลาที่ปัญญาจะเกิด จะเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่สามารถปรากฏทางตา อาศัยการฟัง และวันนี้คงยังไม่สามารถประจักษ์ว่า ลักษณะที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้ แต่เมื่อเริ่มที่จะเข้าใจ และไม่ได้กะเกณฑ์ด้วยว่า เมื่อไรจึงจะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่า อัตตา หรือความเป็นเรา ยังมีมาก แต่ถ้าเป็นผู้เข้าใจในความเป็นอนัตตาจริงๆ พ้นความเป็นธาตุของโลภะไปชั่วขณะ ที่จะไม่ไปบังคับให้ไปทำอย่างนี้ หรือบังคับให้เข้าใจอย่างนี้ หรือให้คิดอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ แต่ว่าสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งความจริงแล้ว ไม่ใช่จะเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสภาพธรรมตลอดเวลา แม้ชีวิตประจำวัน แต่ละคนคิดผิดบ้าง คิดถูกบ้าง คิดละเอียดบ้าง คิดไม่รอบคอบบ้าง ทั้งหมดก็มาจากสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง เพราะว่าตลอดชีวิต แม้ว่าเป็น นามธรรม และรูปธรรม แต่ไม่ใช่จะรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมเสมอๆ แต่ว่าเรื่องราวมากมายเหลือเกิน เรื่องราวมากมายที่ทำให้แต่ละคนต่างกันไปในความคิดเห็น เพราะสังขารขันธ์ที่เกิดจากการเข้าใจธรรม ไม่ได้ปรุงที่จะให้เข้าใจลักษณะของธรรม แต่ปรุงให้เข้าใจในเหตุในผลของธรรม

        ด้วยเหตุนี้จึงต้องประกอบกันหมดทุกขณะในชีวิตประจำวันว่า เป็นเรื่องของธรรมทั้งหมด ที่เป็นสังขารขันธ์ก็สะสม และปรุงแต่ง ถ้าเป็นขณะที่อกุศลมีปัจจัย ก็เป็นเรื่องของอกุศล แม้แต่ความเข้าใจผิด คิดผิด ก็เป็นไปตามอกุศล เช่น คนที่ได้ฟังธรรมแล้วเห็นว่ายาก คนหนึ่งก็มีปีติที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง อีกคนหนึ่งแล้วก็เมื่อไรจะรู้ เห็นไหมคะ ต่างกันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องเดียวกัน การปรุงแต่งของธรรมละเอียดมาก จนกระทั่งไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ขณะต่อไปเป็นอะไร จะเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล จะแยบคาย ไม่แยบคายประการใด แต่ทั้งหมดผู้ที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ต้องเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ปัญญาต้องเจริญ ถ้ารู้ว่า ยังมืดมนทางตายังไม่เห็นเป็นอย่างนั้นสักทีว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ฟังแล้วจะไม่ค่อยๆ เข้าใจหรือว่า สิ่งที่ปรากฏ ทำอะไรไม่ได้เลย เป็นลักษณะอย่างหนึ่งเหมือนเสียง เสียงก็ปรากฏทางหู สิ่งนี้ก็ปรากฏทางตา และกลิ่นก็ปรากฏทางจมูก ก็ไม่เห็นจะต่างกัน ถ้าไม่เคยรู้ และยึดถือยึดมั่นในรูปร่างสัณฐาน แม้ว่าจะมีการรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร ก็ยังยึดถือเพิ่มเติมอีก เพราะเหตุว่าหลังจากที่เห็นแล้ว ไม่มีใครเลยที่จะไม่รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร เป็นไปตามกระแส หรือความเป็นไปของจิต ซึ่งเมื่อจิตเห็นดับ รูปดับ มโนทวารวิถีจิตก็รับรู้ต่อ แล้วสัญญา ความจำ ที่เคยจำมาก็จะรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร เหมือนกันหมด ไม่ว่าผู้ที่มีกิเลส หรือผู้ที่ไม่มีกิเลส อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ผู้ที่ไม่มีความเห็นถูก ยังเพิ่มความเห็นผิด และยึดมั่นว่า มีคนจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา

        นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เรื่องของความเข้าใจถูก ต้องถูกต้องในแต่ละทาง ทางตา เห็น และมีคิดนึก และจำว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แม้ทางใจโดยนัยเดียวกัน แต่ว่ามีความเห็นผิด หรือมีการยึดมั่นในสิ่งนั้น จนกระทั่งเป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์ เป็นบุคคลหรือเปล่า เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจถูกต้องค่ะ ขณะที่เป็นความเห็นผิด เป็นความเห็นผิด ขณะที่เป็นการรู้บัญญัติ เป็นการรู้บัญญัติ ขณะที่สิ่งนี้กำลังปรากฏทางตา แล้วฟัง เริ่มที่จะเข้าใจจริงๆ ว่า เหมือนเสียงปรากฏ แต่เสียงไม่สว่าง ไม่ปรากฏอย่างนี้ เสียงก็เป็นเสียงลักษณะต่างๆ แต่เสียงที่ปรากฏทางหู ก็เป็นธรรมหรือธาตุชนิดหนึ่งเหมือนกัน จะเป็นอื่นไปไม่ได้ จะเป็นคน เป็นสัตว์ไม่ได้ ถ้าไม่คิด

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 312


    หมายเลข 12304
    24 ม.ค. 2567