เมื่อฟังแล้วก็เข้าใจขึ้นในความเป็นธรรม


        อรวรรณ ถ้าอย่างนั้นที่ท่านอาจารย์พูดถึงบุคคลที่พระพุทธเจ้าแบ่งเป็น ๔ ประเภท ที่ฟังแล้วบรรลุเลย จำภาษาบาลีไม่ได้ แล้วก็เวไนยบุคคล และปทปรมะ ที่แบ่งแล้วกว่าจะบรรลุต้องอีกหลายชาติ ทีนี้ก็สงสัยต่อไปอีกว่า แล้วคนที่ไม่อยู่ใน ๔ ประเภทมีไหม คือ ไม่มีทางที่จะเข้ามาฟังพระธรรม ก็อยู่ในวัฏฏะไปตลอด มีไหม

        สุ. ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย มีบุคคลในครั้งพุทธกาล อยู่ใกล้ ก็ไม่เคยไปเฝ้า ถึงแม้ติดตามหลังพระองค์ไป ก็ไม่ได้เข้าใจธรรม คิดว่าธรรมที่ทรงแสดงเกิดจากการตรึกหรือคิด เท่านั้นเอง หมายความว่าเป็นผู้เก่ง สามารถในเหตุผลอย่างละเอียด ก็แสดงธรรมไปตามนั้น แม้เป็นพระภิกษุที่ติดตามพระองค์ไปข้างหลัง ก็ยังคิดอย่างนี้ได้

        เพราะฉะนั้นแต่ละบุคคลก็เป็นธรรมจริงๆ ซึ่งแล้วแต่ว่าจะมีปัจจัยอะไรเกิดขึ้นในแต่ละภพแต่ละชาติที่จะปรุงแต่งความคิด หรือสังขารธรรม หรือสังขารขันธ์ หรือจิตที่จะเกิดขึ้นแต่ละขณะเป็นไปต่อไปยาวนาน

        อรวรรณ เพราะฉะนั้นก็ต้องไม่ลืมว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และเป็นไปตามเหตุปัจจัย

        สุ. มิฉะนั้นยังเป็นตัวตนแน่ๆ ค่ะ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อให้เห็นถูก เข้าใจถูกว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้ว ก็คือเข้าใจขึ้นในความเป็นธรรม

        อรวรรณ จากที่คุณสุกัญญาถามเรื่องสัญญา ฟังมาว่า สัญญาวิปลาสก็มี ๔ คือ เห็นว่าไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นทุกข์ว่าสุข จำว่าอนัตตาเป็นอัตตา และไม่งามว่างาม ทีนี้การจะละได้ ก็ด้วยปัญญาขั้นต่างๆ ถึงจะมีสัญญาที่ไม่วิปลาสได้ ใช่ไหมคะ

        สุ. เพราะว่าวิปลาสเกิดกับอกุศลจิต สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส เป็นอกุศลทั้งหมด

        อรวรรณ การที่เราจะละได้ ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาขั้นไหนก็ละได้ขั้นไหน ใช่ไหมคะ

        สุ. ถ้าไม่มีปัญญาก็ยังคงไม่รู้ ซึ่งเป็นอวิชชา เพราะฉะนั้นเมื่อมีความไม่รู้ ชีวิตก็ดำเนินไป แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ก็แล้วแต่ ก็เป็นความไม่รู้ไปเรื่อยๆ

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 309


    หมายเลข 12285
    24 ม.ค. 2567