ผู้ที่เข้าใจธรรมละเอียดจะรู้ว่าศึกษาอะไรและจะเข้าใจอะไรเพิ่มขึ้น


        เด่นพงศ์ อาจารย์บอกว่า ขอให้รู้สภาพธรรม แล้วอาจารย์พูดเกือบทุกวัน ทุกชั่วโมงว่า ให้ฟังๆ ๆ ๆ และพูดอีกคำหนึ่งซึ่งซ้ำๆ ก็คือ สภาพธรรมที่เป็นจริง ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ แต่ผมก็ค่อนข้างจะเริ่มเข้าใจว่า เหมือนป่าล้อมเมือง ไปเรียนธรรมทุกอย่างให้ครบ แล้วจะค่อยๆ รู้จักสติปัฏฐาน ค่อยๆ รู้จักวิปัสสนา ค่อยๆ รู้จักอภิธรรมขึ้น แล้วนิพพานเอาไว้ทีหลังก็ได้ จะเป็นอย่างนั้นใช่หรือเปล่าครับ

        สุ. ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจคำอุปมาของคุณเด่นพงศ์ว่า หมายความถึงอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องของการสนทนาธรรม และมีความเข้าใจถูกต้องว่า ทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรม แต่ควรที่จะเข้าใจแม้แต่คำว่า “ธรรม” ให้ถูกต้อง และลึกขึ้น

        ขอพูดถึงคำว่า “โลก” มีใครไม่รู้จักโลกบ้างคะ ตอนนี้จะรู้จักหรือไม่รู้จักโลก เคยรู้จักโลกไหมคะ

        เด่นพงศ์ โลกก็คือสิ่งที่เรากำลังอยู่เดี๋ยวนี้

        สุ. ตัวโลกเป็นอย่างไรคะ

        เด่นพงศ์ นี่ซิครับที่งง แต่โลกของอาจารย์ก็คือสิ่งที่แตกดับ เกิดดับ คล้ายๆ อย่างนั้น

        สุ. เพราะฉะนั้นเราอาจใช้คำอะไรก็ได้ แต่ให้ทราบว่า ใครที่ใช้คำอะไร ไม่ว่าจะเป็นคำเก่า คำใหม่ ภาษาไหนก็ตาม มีความเข้าใจจริงๆ ในคำนั้นหรือเปล่า ถ้าถูกซักไซ้ไล่เรียง ไม่รู้เลย เอาโลกไหนดีคะ โลกกลมๆ ภูมิศาสตร์ จักรวาล หรือว่าโลกไหน แต่ว่าจริงๆ แล้ว โลกอยู่ที่ไหน

        เด่นพงศ์ ก็อยู่ที่ตัวเรา

        สุ. ควรจะเข้าใจให้ถูกต้องไหม ถ้าไม่มีสภาพธรรมใดเลยเกิดขึ้น จะมีโลกได้ไหม แต่เมื่อเกิดแล้วไม่รู้ ก็มีโลก มีคนเยอะแยะ และเป็นคนนั้นคนนี้ต่างๆ ประเทศต่างๆ ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีการคิดนึก จะมีโลกไหม และลึกยิ่งกว่านั้นอีก สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้มีจริง เป็นโลกหรือเปล่า เห็นไหมคะกับการอธิบายถึงโลกเมื่อกี้นี้ ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีการคิดนึก คือ ไม่มีใดๆ เลยทั้งสิ้น โลกก็ไม่มี

        นี่คือคำพูดส่วนหนึ่ง ถามกลับมาว่า ขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เป็นโลกหรือเปล่า เห็นไหมคะ ถ้าเรามีความเข้าใจ เราก็ตอบได้ ต้องเป็นโลก แต่เรายังไม่ถึงความลึกซึ้งของความหมายของโลก จะกล่าวว่า เรารู้จักโลกได้ไหม ทั้งๆ ที่ทุกคนก็ใช้ภาษา พูดกันรู้เรื่อง พอพูดถึงโลก ก็เหมือนรู้จักว่า โลกเป็นอะไร แต่ความจริงของโลกไม่รู้

        ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มี จนกระทั่งตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่เห็นมีจริง แต่ความจริงของเห็นคืออะไร ก็ต้องลึกลงไปอีก จึงจะกล่าวได้

        เพราะฉะนั้นทุกคำแสดงว่า เราใช้โดยไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด แต่ถ้าศึกษาธรรม พระธรรมที่ทรงแสดงอนุเคราะห์ให้ผู้ที่ได้ฟัง ไตร่ตรอง มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

        เพราะฉะนั้นจะใช้คำอุปมา จะพูดถึงอะไรก็ตามแต่ เราเข้าใจหรือเปล่า ยังไม่ต้องถึง อภิ – ธรรม แค่ “ธรรม” ถ้ามีความเข้าใจแล้ว ธรรมนั่นแหละ อภิ ไหมคะ ละเอียดยิ่ง อย่าง “เห็น” ละเอียดยิ่ง เกิดขึ้นมาได้อย่างไร จากขณะที่ไม่มี แล้วเกิดมีขึ้น ต้องมีปัจจัย คือ จักขุปสาทรูป ใครก็ตามที่ไม่มีจักขุปสาทรูปจะเห็นไม่ได้เลย แค่มีจักขุปสาทรูปก็ยังไม่พอที่จะให้จิตเห็นเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่เป็นธาตุที่สามารถกระทบจักขุปสาท ก็ยังไม่พอ ต้องมีจิตเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏที่กระทบจักขุปสาท

        นี่คือความละเอียดของโลกหนึ่งทางตา ซึ่งถ้าไม่มีโลกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โลกที่เราเข้าใจไม่มีเลย

        เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ความไม่รู้มีมากแค่ไหน และความรู้ที่คิดว่ารู้แล้ว แค่ไหน และความรู้จริงนี่แค่ไหน เพราะฉะนั้นธรรมเมื่อแสดงโดยละเอียดให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ก็เป็น อภิ – ธรรม ไม่ได้ต่างกับธรรมเลย จะไปกล่าวแยกว่า ศึกษาธรรม แต่ไม่ได้ศึกษาอภิธรรมได้อย่างไร ก็คือคนนั้นยังไม่ได้เข้าใจเลยว่า ธรรมคืออะไร

        เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้ว่า ศึกษาอะไร แต่ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ธรรมก็ทั้ง ๓ ปิฎก ถ้าไม่มีนามธรรม ไม่มีรูปธรรม ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล จะมีวินัยไหมคะ ถ้าไม่มีอกุศล ไม่มีกิเลส จะมีการกำจัดกิเลสไหมคะ โดยการประพฤติทางกาย ทางวาจา และทางใจไหม ก็ไม่ต้องมี

        นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมละเอียดจริงๆ ก็สามารถที่จะรู้ว่า ศึกษาอะไร และเข้าใจอะไรเพิ่มขึ้น และยังจะต้องเข้าใจอย่างนี้ จนกระทั่งประจักษ์ความจริงได้ มิฉะนั้นจะไม่มีอริยสาวก ก็จะมีแต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น แต่หนทางต้องถูกตั้งแต่ต้น

        เด่นพงศ์ ผมคิดว่า อย่างที่ท่านอาจารย์แนะนำว่า ถ้าเรารู้ธรรมๆ ๆ ก็คืออภิธรรมนั่นแหละ ถ้าเรารู้จริง รู้ละเอียด ก็จะเข้าไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ อภิธรรม สติปัฏฐาน วิปัสสนา ไม่ทราบว่าจะใช่หรือเปล่า

        สุ. ค่ะ ถูกต้องค่ะ ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง ก็คือธรรมเป็นเรื่องละ ด้วยความรู้ ใครที่ยังไม่อยากจะละ ก็คงไม่ต้องมาศึกษาธรรมหรอก เพราะว่าโลภะทำให้เรามีความต้องการยึดมั่น ไม่ละอะไรเลย แต่เมื่อศึกษาธรรม ธรรมทั้งหมดละความเห็นผิด ละอกุศล ละความไม่รู้ ละกิเลส ดีไหมคะ อยากไหมคะ เรียนไหมคะ ศึกษาไหม อบรมไหม รู้ไหม ต้องเป็นผู้ที่จริงใจ และตรง ไม่ใช่ว่า ศึกษาธรรมเพราะอยากเข้าใจ แล้วพอแล้ว เข้าใจแล้ว แต่ตัวเองจะเป็นอย่างไรไม่รู้ ธรรมอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ และไม่เข้าใจเลยว่า ศึกษาเพื่ออะไร ถ้าศึกษาเพื่อเกียรติยศ ชื่อเสียง ความเป็นผู้เก่ง มีผู้สรรเสริญ อย่างที่คุณเด่นพงศ์กล่าวว่า ทางโลกจะต้องมีเป้าจะได้สำเร็จอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ทางธรรม เป็นเรื่องละทั้งหมด ที่ทางโลกติดข้อง

        เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้โดยละเอียดจริงๆ ว่า แม้การศึกษาที่แต่ละคนกำลังฟัง ก็ต้องรู้ว่าเพื่อนำไปสู่การละอกุศล ยังไม่พอนะคะ ละกุศลด้วย ทั้งหมด ถึงความไม่มีกิเลสเลย ไม่ติดข้องทั้งในกุศลอกุศล ถึงความเป็นพระอรหันต์

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 307


    หมายเลข 12275
    24 ม.ค. 2567