ไม่มีเรา แต่เป็นจิต


        ทวารมี ๖ คือ ตา ๑ หู ๑ จมูก ๑ ลิ้น ๑ กาย ๑ ใจ ๑ เพราะฉะนั้นนี่เป็นทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ต่างกับขณะที่อารมณ์ใดๆ ก็ไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นเวลาที่ถึงกาลที่มโนทวาราวัชชนจิตจะเกิด มีปัจจัยที่จะทำให้มโนทวาราวัชชนจิตเกิดต่อจากภวังคุปัจเฉทะ ซึ่งเป็นกระแสภวังค์ขณะสุดท้าย ถ้าภวัค์คุปัจเฉทะเกิดแล้ว จิตจะเป็นภวังค์ต่อไปอีกไม่ได้เลย แต่จะเป็นปัจจัยให้วิถีจิตแรกเกิดขึ้น ถ้าเป็นวาระแรกในชาติหนึ่ง จะเป็นมโนทวาราวัชชนจิตเกิด หลังจากนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอกุศล ถ้าไม่ใช่ผู้ที่สะสมมา มีสติสัมปชัญญะที่กุศลจิตจะเกิด ส่วนใหญ่แล้วก็เหมือนเมื่อคืนนี้แหละ พอตื่นขึ้นมารู้สึกตัว กุศลจิตเกิด หรือว่าอะไรเกิดก่อน โดยไม่รู้เลย แต่เป็นความคุ้นเคยที่ได้สะสมมาที่จะเป็นความติดข้อง ไม่ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ โลภะติดทันที สภาพธรรมที่พอใจในทุกอย่างที่เกิดขึ้นปรากฏ จะให้เห็นก็ตาม จะให้ได้ยินก็ตาม จะให้คิดนึกเป็นเรื่องราวใดๆ ก็ตาม โลภะเป็นสภาพที่ติดข้อง พอใจ เราไม่รู้ตัวเลยว่า เราพอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มานานแสนนานเท่าไร และก็ยังเป็นอย่างนี้ตลอดไป ถ้าไม่มีปัญญาที่สามารถเริ่มรู้ว่า ไม่มีเรา แต่ว่าเป็นจิต

        นี่คือการศึกษาเรื่องจิต ไม่ใช่ว่าวันนี้ฉันจะไปเที่ยว เมื่อวานนี้พี่สาวฉันป่วย หรืออะไรอย่างนั้น นั่นคือเป็นเรื่องราว แต่ไม่ได้เข้าใจเรื่องจิต แต่เมื่อใดก็ตามที่ศึกษาธรรม ให้รู้ว่า เรากำลังพูดถึงตัวธรรม เพื่อจะได้เข้าใจธรรม

        เพราะฉะนั้นในขณะนี้ก็พูดถึงเรื่องจิตที่เป็นกิริยาว่า เป็นจิตที่ไม่ใช่กุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิตใดๆ

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 301


    หมายเลข 12248
    27 ม.ค. 2567