เกิดเพื่อที่จะไป


        สุกัญญา ยังไม่เริ่มเข้าถึงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม มันทุกข์มากเลยค่ะ

        สุ. เพราะเป็นเรา ไม่ใช่เป็นปัญญา เพียงแค่นึก เรากำลังคิดด้วย คิดไปยาวเลยว่า ทุกอย่างเป็นธรรม นั่นคือเราคิด ไม่ใช่เข้าใจถูกต้องว่า ขณะนั้นเป็นธรรม คิดก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่โกรธ สภาพธรรมนี้เกิดเมื่อไรก็คิด เป็นสภาพคิด

        สุกัญญา ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า จะต้องอาจหาญร่าเริงในสภาพธรรม หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ แต่ปัญญาขั้นฟัง ไม่สามารถจะอาจหาญร่าเริงได้แม้แต่น้อย

        สุ. เพราะว่าความติดข้องมีมากแค่ไหน เพียงแค่คิดว่า ไม่ใช่ของเราสักอย่างเดียว คุณสุกัญญายังหวั่นไหว นี่แค่คิด ความจริงน่ะไม่ใช่แค่คิด จริงอย่างนั้นจริงๆ ขณะนี้เหมือนไม่ใช่ของเรา แต่ยังอยู่เต็มทั้งบ้าน ยังหวั่นไหว เพียงด้วยความคิด ทั้งๆ ที่ยังอยู่เต็มอย่างนี้แหละ ยังไม่ได้ไปไหนเลย เพียงแค่คิดว่า ไม่ใช่ของเรา ยังหวั่นไหว และความจริง จริงๆ ถ้าไม่ใช่ปัญญา แล้วสูญหมด หวั่นไหวไหม เพราะฉะนั้นจึงกลัวตาย เพราะว่ากลัวสูญเสียทุกอย่างที่มี นี่แค่คิด แต่ยังมี ยังหวั่นไหว และถ้าไม่มีเลยจากการตาย กลัวไหมคะว่า ยิ่งกว่านี้กี่เท่า แต่นั่นด้วยการไม่รู้ความจริง

        เพราะฉะนั้นลักษณะของกุศลธรรมกับอกุศลธรรม จึงต่างกัน ลักษณะของปัญญา ไม่ใช่ความติดข้อง ไม่ใช่ความไม่รู้ แต่เป็นการเข้าใจ เริ่มเข้าใจความจริง แต่ก็รู้ว่าขณะนั้นยังไม่ได้ประจักษ์ความจริง จึงมีความเป็นตัวตน ยังมีความติดข้อง ในความคิดทุกอย่างว่ายังเป็นเราอยู่ เพราะฉะนั้นลักษณะของสภาพธรรมยังไม่ได้ปรากฏเลยตามความเป็นจริง ขณะนี้เรากล่าวได้ จิตเห็นดับ เรากล่าวได้ แต่ยังไม่ประจักษ์ความจริง เรากล่าวได้ว่า จิตได้ยินเกิดแล้วก็ดับไป กล่าวได้ แต่ยังไม่ประจักษ์ความจริง

        เพราะฉะนั้นถ้าได้ประจักษ์ความจริง จะตรงอย่างนี้ไหม และกำลังศึกษาเพื่อจะประจักษ์ หรือเปล่า หรือเพื่อหลบหนีไป ไม่เอา อย่างนี้ไม่เอาแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าจากการตรัสรู้อย่างนี้ ไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ ไม่มีเรา หรือจริงอย่างไร ก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้น เพราะว่าถ้าเราคิดถึงระยะยาว เราต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน ด้วยความเข้าใจที่จะคลายการยึดถือ เพราะยังไงๆ จริงๆ ก็ต้องจาก ช้า หรือเร็ว ยังไม่ทันตาย ก็จากไปตั้งเยอะแยะแล้ว ทรัพย์สมบัติต่างๆ การสูญเสียวงศาคณาญาติซึ่งเป็นที่รักต่างๆ ก็ยังจากไปอยู่เรื่อยๆ และความจริงกำลังจากไปทุกขณะ แต่เพราะความไม่รู้ ก็ไม่เดือดร้อน เพราะเหตุว่ามีสิ่งใหม่เกิดขึ้น ไม่เห็นว่าสิ่งเก่าได้หมดไปจริงๆ ไม่เหลือ เพราะว่าสิ่งใหม่สืบต่อเร็วมาก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เป็นที่ตั้งของความยึดถือต่อไป

        เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็นปัญญาจริงๆ การฟังธรรม การศึกษาธรรม ไม่ใช่จำชื่อ จำจำนวน แต่เข้าใจตัวธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ทีละเล็กทีละน้อย เพราะเหตุว่าเราสะสมความไม่รู้นับชาติไม่ถ้วนเลย แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงระลึกพระชาติในยามแรกของคืนที่จะตรัสรู้ ไม่จบสิ้น คิดดูซิคะว่า แค่ไหน และจะอยู่ต่อไปอีกไม่จบสิ้นด้วย ด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้เลย เกิดเพื่อที่จะไป เพื่อที่จะดับ เพื่อที่จะหมด เพราะว่ามีปัจจัยก็เกิด แต่ก็ต้องดับ อยู่ไม่ได้ต่อไป เพราะฉะนั้นจะรู้ความจริง หรือไม่รู้ความจริง ถ้าไม่อยากจะรู้ โลภะไม่ยอมปล่อย แม้แค่จะฟังให้เข้าใจ ให้ค่อยๆ รู้ เหมือนกับไม่อนุญาต ครอบงำไว้ให้อยู่อย่างนี้แหละ ให้ไม่รู้อย่างนี้แหละ ให้ไม่ฟังอย่างนี่แหละ ให้ติดอยู่อย่างนี้แหละ ก็เป็นสิ่งที่แต่ละคนจะต้องพิจารณาด้วยตัวเอง สะสมมาพอที่จะเห็นว่า อะไรเป็นประโยชน์ ไม่มีใครให้ใครเป็นพระอรหันต์วันนี้หรอกค่ะ ให้ก็ไม่ได้ เป็นก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นเรื่องของปัญญา แต่ดีไหมคะที่เราจะมีความเข้าใจถูกในสิ่งที่ใครก็ไม่สามารถให้เราเข้าใจได้ นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงพระธรรม เกื้อกูลด้วยพระมหากรุณา ไม่มีอีกเลยที่ใครจะมากล่าวถึงสภาวธรรมที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้อย่างละเอียด เพื่อที่จะให้คนอื่นค่อยๆ มีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูก ละความไม่รู้ ละความติดข้อง ละโลภะ เพราะเหตุว่าโลภะในอริยสัจ ๔ ทุกขอริยสมุทยอริยสัจ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ก็มองไม่เห็น ก็ยังขวนขวายหาอยู่ เพราะเหตุว่ามีเหตุปัจจัยให้โลภะเกิด โลภะมีเหตุปัจจัยเกิด แต่ปัญญาสามารถเห็นถูก เข้าใจถูกว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่ต่างกับสภาพธรรมอื่น เกิดโดยที่ไม่มีใครอยากให้เกิด มีปัจจัยก็เกิด เกิดแล้วไม่มีใครอยากให้ดับ ก็ดับ แค่นี้ไม่อยากเข้าใจ หรือคะ แค่นี้ ค่อยๆ ไปแค่นี้ แค่นี้ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 292


    หมายเลข 12202
    27 ม.ค. 2567