ฟังแล้วก็ใช่ว่า จะรู้ตรงลักษณะนั้น


        ขณะนี้มีความรู้สึกไหมคะ เห็นไหมคะ ทุกคนตอบได้ว่า มี ถ้าถามอีกว่า ความรู้สึกอะไร เห็นไหมคะ จะตอบก็ดับไปหมดแล้ว แล้วสิ่งที่กำลังมี ที่เป็นความรู้สึกในขณะนี้ก็ไม่รู้ นี่คือความจริง

        ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเราจะฟังธรรม เราก็เริ่มเข้าใจ แต่การที่จะรู้จริงๆ ในลักษณะที่มี ถ้าขณะนั้นไม่มีการรู้ ระลึกได้ตรงลักษณะนั้นที่เป็นสภาพธรรมนั้น สิ่งนั้นดับแล้ว

        เพราะฉะนั้นการฟังของเรา เราก็ฟังด้วยความเข้าใจว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับเร็วมาก แต่มีจริง แต่การที่จะรู้จริงเพิ่มขึ้นจากการได้ฟัง ก็ต่อเมื่อสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นในขณะนั้น เช่น พูดถึงความรู้สึก จากการฟัง ความรู้สึกมีทุกขณะจิต ไม่เคยขาดเลย และก็ต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด คือ ความรู้สึกอทุกขมสุข หรือความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ความรู้สึกโสมนัส ดีใจ ความรู้สึกโทมนัส เสียใจ ความรู้สึกเป็นสุขทางกาย ความรู้สึกเป็นทุกข์ทางกาย แม้มี ฟังแล้วก็ใช่ว่า จะรู้ลักษณะนั้น ตรงลักษณะนั้น

        นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ความเข้าใจมีหลายระดับ เรากำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง แต่ว่ายังไม่รู้จริงในลักษณะของสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้การฟังทีละเล็กทีละน้อย ก็จะทำให้เพิ่มความเข้าใจขึ้น จนกระทั่งในขณะนั้นไม่ได้คิดถึงอย่างอื่น ไม่ได้รู้อื่น แต่รู้ตาม คือ ความจริงของลักษณะของสภาพธรรมที่มี

        นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เป็นปัญญาต่างขั้น ด้วยตัวเอง แม้จะรู้ว่า ความรู้สึกมี ขณะนี้บอกไม่ได้แล้ว เพราะดับแล้ว และกำลังพูดขณะนี้ ความรู้สึกก็กำลังเกิดกับจิตซึ่งเกิดต่อ และก็ดับไปอีกด้วย จนกว่าขณะใดก็ตามที่รู้ลักษณะนั้นเมื่อไร ขณะนั้นก็จะรู้ว่า ลักษณะนั้นเป็นสภาพที่ได้เข้าใจจากการฟัง และก็เป็นความจริงตรงตามที่ได้เข้าใจด้วย

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 281


    หมายเลข 12134
    23 ม.ค. 2567