ไม่รู้ในอะไร


        อ.วิชัย ฟังพระธรรม ก็ฟังเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็มีความเข้าใจระดับหนึ่ง แต่ก็ใคร่จะศึกษาธรรมที่พระองค์ทรงแสดงละเอียดมากขึ้น จนถึงเรื่องปัจจัยต่างๆ ก็ได้ฟังในเอ็มพี ๓ ที่ท่านอาจารย์สนทนา เกี่ยวกับบุคคลที่ถามเรื่องปฏิจสมุปปาท ท่านอาจารย์ก็ถามว่า ปฏิจสมุปปาทนั้นคืออะไร ขณะนี้อยู่ที่ไหน อย่างไร ก็เลยสงสัยว่า ศึกษาในส่วนละเอียด คือ ไม่สามารถจะรู้ตามได้ แต่สามารถเข้าใจได้ จะเกื้อกูลต่อการรู้ลักษณะของธรรมขณะนี้อย่างไร

        สุ. ศึกษาอะไร ก็ต้องรู้จัก และเข้าใจสิ่งนั้น ในขณะนี้สิ่งนั้นกำลังมี หรือเปล่า ถ้าไม่มี ไม่เข้าใจปฏิจสมุปปาทแน่ เพราะเหตุว่าปฏิจสมุปปาท หมายความถึงธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น ขณะนี้มีเห็น เป็นปฏิจสมุปปาท หรือเปล่า หรือไม่ใช่

        อ.วิชัย ก็ต้องเป็นด้วย เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราไปจำชื่อปฏิจสมุปปาท โดยไม่เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นปฏิจสมุปปาทอะไร เช่น เห็นขณะนี้ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะมีผัสสะ ผัสสะเป็นปฏิจสมุปปาท หรือเปล่า ก็เป็นอีก ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจสภาพธรรมทั้งหมดแล้ว จึงจะเห็นความเป็นปฏิจสมุปปาทของสภาพธรรมนั้นๆ เช่น ในขณะนี้ กุศลจิตมี อกุศลจิต มี เพราะยังมีอวิชชา

        นี่ถ้ายังไม่เข้าใจพวกนี้เลย แล้วไปกล่าวแต่เพียงชื่อ ก็แสดงว่ายังไม่ได้เข้าใจ เพียงแต่อยากจะรู้คำ และรู้เรื่องของปฏิจสมุปปาท แต่ตามความเป็นจริงสภาพธรรมขณะนี้มี เริ่มจากการรู้จริงในลักษณะของสภาพธรรมนั้น เท่าที่จะรู้ได้

        อ.วิชัย ดังนั้นถ้าศึกษาเรื่อง อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ก็เป็นเพียงความเข้าใจระดับหนึ่งเท่านั้น ใช่ไหมครับ

        สุ. เพราะจะเข้าใจไหมคะว่า ขณะนี้ยังมีอวิชชา

        อ.วิชัย เข้าใจแต่ยังไม่รู้ลักษณะของอวิชชา

        สุ. แต่รู้ชื่อก่อนใช่ไหมว่า อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร และสังขารก็คือกุศลจิต และอกุศลจิต เพราะฉะนั้นเพียงเข้าใจว่า ขณะนี้มีกุศลจิต และอกุศลจิต แต่ถ้าหยั่งลงไปกว่านั้น ก็คือว่ามาจากไหน ทำไมยังคงเป็นกุศลจิต และอกุศลจิตอย่างหนึ่งอย่างใดตลอดไปในสังสารวัฏฏ์ ยังคงเป็นปัจจัยให้มีการเกิด ยังคงมีปัจจัยให้มีปฏิสนธิวิญญาณ เพราะเหตุว่ายังมีกุศลเจตนา และอกุศลเจตนา เพราะฉะนั้นมาจากไหน ก็ต้องมาจากความไม่รู้ และความไม่รู้นี่ ถ้าฟังธรรมแล้วก็รู้จักเลย มี หรือไม่มี แล้วไม่รู้อะไร ก็ยังรู้ต่อไปอีก เพราะว่าต้องตรงกับข้อความที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก สิ่งใดที่มีจริงปรากฏในพระไตรปิฎก แต่เมื่อไม่เข้าใจความจริงขณะนั้นก็จำเพียงเรื่องราว แต่ถ้ารู้ว่า ขณะนี้มีอวิชชาในสิ่งที่กำลังปรากฏแน่นอน ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นกุศลจิต และอกุศลจิต ก็ยังคงเนื่องมาจากความไม่รู้ในสภาพธรรมที่ปรากฏนั่นเอง ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น และถ้าศึกษาต่อไปจะรู้ว่า อวิชชาไม่รู้อะไร ไม่รู้ในอะไร ก็ตรงอีกในอริยสัจ ๔ ทุกขอริยสัจจะ ขณะนี้เป็น หรือเปล่า ก็เป็นความเข้าใจสภาพธรรมก่อนค่ะ โดยนัยประการต่างๆ จนกระทั่งสามารถจะรู้ได้ว่า แต่ละขณะนั้นสืบเนื่องจากขณะไหนอย่างไร ชาติก่อนเป็นปัจจัยให้เกิดชาตินี้ ชาตินี้เป็นปัจจัยให้เกิดชาติหน้า

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 282


    หมายเลข 12139
    23 ม.ค. 2567