ลวงเหมือนกับว่า มีทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเที่ยง


        อย่างคนที่ได้ฌานในสมัยโน้นแล้วฌานเสื่อม อย่างท่านพระเทวทัต ก็ไม่สามารถทำให้เกิดในพรหมโลกด้วยฌานวิบาก คือ รูปฌานที่เคยได้แล้ว เพราะเหตุว่ามีกรรมที่จะทำให้จะต้องมีปฏิสนธิในอเวจีมหานรก

        นี่ก็แสดงว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย และสำหรับเรา ขณะนี้คือจิตเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เกิดขึ้นในภพนี้ภูมินี้หลากหลายตามปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรม ซึ่งประมวลกุศลกรรม และอกุศลกรรมในแสนโกฏิกัปที่ยังไม่ได้ให้ผล เพื่อที่จะปรุงแต่งให้สภาพของชีวิต หรือปวัตติ ความเป็นไปต่างๆ กัน เพราะว่าปฏิสนธิจิตในกามภูมิ คือ ในภูมิที่มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แล้วก็เป็นผลของกุศล ต้องเป็นกุศลวิบาก เหมือนกันเลย คือ ไม่ใช่ระดับขั้นฌานที่จะเกิดในพรหมโลก ไม่ใช่ระดับที่สูงกว่านี้ที่จะเกิดในสวรรค์ แต่ก็เป็นจิตประเภทเดียวกัน แต่ความหลากหลายมีมากมายจนกระทั่งทันทีที่เกิดแล้วดับไป ความเป็นไปของแต่ละชีวิต เลือกไม่ได้ แล้วแต่ว่าจะเป็นอย่างไร ตามกรรมที่ได้สะสมมา แม้แต่รูปร่างกายก็เลือกไม่ได้ ก็ต้องเป็นไปตามการสะสม

        เพราะฉะนั้นเราจะรู้ลักษณะของจิตซึ่งเป็นธาตุที่มองไม่เห็น ก็ต่อเมื่อมีการเห็น หรือมีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีการคิดนึก มี ๖ ทาง ที่ทำให้สามารถรู้ว่า ถ้าไม่มีจิต จะไม่มีสิ่งใดปรากฏเลย ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ปรากฏไม่ได้เลย ถ้าไม่มีจิตเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ปรากฏไม่ได้ ถ้าไม่มีจิตได้ยิน เสียงปรากฏไม่ได้ ถ้าไม่มีจิตได้กลิ่น กลิ่นปรากฏไม่ได้ ถ้าไม่มีจิตลิ้มรส รสปรากฏไม่ได้ ถ้าไม่มีจิตที่รู้ลักษณะที่เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง ตึง หรือไหว สิ่งนั้นก็ปรากฏไม่ได้ ถ้าไม่มีจิตคิดนึก เรื่องราวต่างๆ ก็มีไม่ได้

        นี่ก็แสดงให้เห็นความเป็นไปของธาตุ ซึ่งมีจริงๆ เป็นอย่างนี้ แต่เพราะความไม่รู้ ก็ยึดถือเป็นเรา เพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นวันนี้หลังจากที่หลับแล้วตื่น ก็มีการเห็น การได้ยิน ไม่รู้ว่าเป็นวิบากอย่างที่ว่า เพราะเหตุว่าไม่รู้ลักษณะของจิต แต่ให้เห็นความเป็นไปของแต่ละชีวิตว่า ชีวิตที่ตื่นแล้ว เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว รับประทานอาหารแล้ว สุขทุกข์แล้วต่างๆ ก็มาอยู่ที่นี่ ฟังธรรม ตามการสะสม ซึ่งถ้าไม่มีการสะสม จะไม่มีการได้ยินได้ฟัง ก็ไปทางอื่นตามการสะสมอีกเหมือนกัน

        เพราะฉะนั้นการจะเข้าใจวิบากจิต ก็จะต้องรู้ว่า กรรมไม่ได้มีแต่เฉพาะปฏิสนธิจิต เจตสิกซึ่งเกิดพร้อมกัน แต่ทำให้มีรูปซึ่งเกิดจากกรรมด้วย

        เพราะฉะนั้นตลอดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า บางรูปเกิดจากกรรม บางรูปเกิดจากจิต บางรูปเกิดจากอุตุ บางรูปเกิดจากอาหาร ถ้าจะเข้าใจคำว่า วิบาก คือผลของกรรม จักขุปสาทเป็นรูปที่สามารถกระทบกับธาตุที่กำลังปรากฏขณะนี้ รูปอื่นไม่สามารถกระทบธาตุนี้ได้เลย แต่รูปนั้นสามารถกระทบธาตุที่กำลังปรากฏ และเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ใครทำ จักขุปสาทเป็นกัมมชรูป คือ รูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย แล้วการเกิดดับของรูปเร็วมาก สภาวรูปทั้งหมดมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ข้อเปรียบเทียบ คือ จิตเห็นกับจิตได้ยินห่างไกลกันเกิน ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นรูปที่เกิดจะดับเร็วสักแค่ไหน ประมาณไม่ได้เลย ทั้งจักขุปสาทรูป และธาตุที่สามารถกระทบกับจักขุปสาทรูป และถ้าไม่ใช่ผลของกรรมที่จะทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น สิ่งที่มีอายุสั้นๆ ๒ อย่างนี้ที่กระทบกัน เป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิดขึ้นแล้วเห็น ซึ่งใครก็บันดาลไม่ได้ ถ้าจักขุปสาทไม่มี ไม่มีผลของกรรมที่จะให้เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ และถ้าไม่ใช่ผลของกรรมที่จะต้องให้เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งนี้ดับแล้ว เป็นสิ่งอื่นไปแล้วที่กระทบ

        เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ทุกขณะจิตที่เกิดดับรวดเร็ว ประมาณไม่ได้เลย ทำให้ลวงเหมือนกับว่า มีทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเที่ยง ไม่ได้ดับเลย ความจริงก็เป็นการเกิดดับสืบต่อของจิตแต่ละขณะ

        เพราะฉะนั้นพอจะเข้าใจได้ไหมว่า จิตเห็นขณะนี้เป็นวิบาก เป็นผลของกรรม และการเห็นของแต่ละคนก็ต่างกันไป แล้วแต่ว่าขณะไหนเป็นผลของกุศลกรรม มีรูปที่น่าพอใจเกิดขึ้นแล้วยังไม่ดับ จักขุปสาทยังไม่ดับ รูปนั้นกระทบจักขุปสาท จิตเห็นเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย แล้วก็ต้องเป็นผลของกุศลกรรมด้วยที่จะทำให้เห็นสิ่งที่น่าพอใจทางตา เพราะฉะนั้นขณะนั้นจึงเป็นวิบากจิต

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 283


    หมายเลข 12143
    23 ม.ค. 2567