เพียรที่เกิดขึ้นก็ต้องรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา


        สังขารขันธ์ หมายความถึงเจตสิกอีก ๕๐ ที่ไม่ใช่เวทนาเจตสิก สัญญาเจตสิก แล้วเราก็ลืมว่า เป็นขันธ์ ฟังแล้วขณะนี้ไม่มีเราเลย เจตสิกทั้งนั้น เจตนาที่เกิดขณะที่จิตเกิดก็เป็นสภาพของสังขารขันธ์ ความรู้สึกก็เป็นเวทนาขันธ์ ความคิดต่างๆ เข้าใจมากน้อยต่างๆ เห็นถูกเห็นผิดต่างๆ เป็นสังขารขันธ์ ปรุงแต่งโดยธรรมนั้นๆ ใครจะไปก้าวก่ายอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ถ้าบอกว่า “ให้เพียร” แต่ไม่ได้ให้เข้าใจว่า เพียรไม่ใช่เรา อย่างไหนเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเป็นตัวตน ไม่ใช่คำสอน แต่ต้องรู้ว่าเป็นธรรม แล้วก็ละการยึดถือว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นธรรมต้องฟัง แล้วเข้าใจโดยละเอียด ถ้าศึกษาพระสูตร โดยไม่ศึกษาพระอภิธรรม ก็เหมือนกับให้เพียร แต่ความจริงใครก็ให้เพียรไม่ได้ แต่ให้เข้าใจถูกต้องว่า ขณะนั้นเพียรเกิดกับจิตอะไรบ้าง จิตอะไรที่ไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่มีตัวเราที่จะไปสร้าง หรือจะไปทำธรรมอะไรสักอย่างหนึ่งก็ไม่ได้ให้เกิดขึ้น เพราะเหตุว่าขณะนั้นธรรมเกิดแล้ว มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว สังขารขันธ์เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่ง เวทนาขันธ์เป็นสภาพความรู้สึก สัญญาขันธ์เป็นสภาพจำ จิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ที่กำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดในขณะนั้น ก็เป็นธรรมทั้งหมด ให้เข้าใจเพื่อที่จะไม่มีเราไปทำอะไร แต่ให้เข้าใจจริงๆ ว่า ขณะนี้ทุกอย่างเกิดแล้วจึงปรากฏ โดยไม่มีใครที่เป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ไปทำได้ แต่ว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยของสภาพธรรมนั้นๆ

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 280


    หมายเลข 12124
    23 ม.ค. 2567