ลืมที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ


        สุ. เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ก็เพื่อที่จะเข้าใจ เราไม่ไปไกลถึงชื่อต่างๆ ปฏิจจสมุปปาท หรือสติปัฏฐาน หรือวิปัสสนาญาณ โดยไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ถ้าตราบใดยังไม่มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูกเพิ่มขึ้นตามความเป็นจริง ไม่มีทางที่สติสัมปชัญญะรู้ลักษณะนั้น เพราะลืมเสมอ ขณะนี้ก็ลืมแล้วค่ะ ลืมที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แต่จำได้ว่าใครนั่งอยู่ที่นั่น

        เพราะฉะนั้นก็เห็นได้ว่า กว่าเราจะละอัตตานุทิฏฐิ การยึดถือสภาพธรรมที่สืบต่อว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ต้องอาศัยปัญญาที่เกิดจากการฟังแล้วเข้าใจก่อนจริงๆ เพราะว่าพระธรรมทั้งหมดเพื่อละ ลืมอีกแล้ว อยากจะได้ อยากจะรู้ อยากจะเข้าใจ เรียกว่าหลงทางอยู่ตลอด แต่ถ้าฟังด้วยการไตร่ตรอง ด้วยความเข้าใจถูก ก็สามารถทำให้อยู่ในหนทางของพระธรรม คือ เป็นเรื่องละ

        บางท่าน ท่านติดใจมากกับเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ซึ่งเหมือนประสบการณ์ที่ไม่เคยมี ท่านไม่รู้ว่า กำลังตกหลุม ไม่ขึ้นสักที คืออยู่ตรงที่สนใจว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร เป็นปัญญา หรือเปล่า เป็นนามธรรม หรือเปล่า เป็นรูปธรรม หรือเปล่า เป็นการเกิดดับ หรือเปล่า แต่ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่เคยค่อยๆ เข้าใจว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเกิดดับ และสิ่งที่ตามมา คือ สภาพธรรมแต่ละอย่างอายุสั้นมาก เกิดดับสืบต่อกัน กว่าจะเข้าใจก็คือฟังจนกระทั่งการฟังทำให้สามารถแม้ขณะเห็นขณะนี้ก็มี ค่อยๆ เข้าใจสภาพที่เห็น ที่ปรากฏให้เห็นว่า เป็นแต่เพียงลักษณะของธรรมอย่างหนึ่ง เราจะติดใจมากน้อยแค่ไหน เราจะยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากน้อยแค่ไหน ก็คือจะค่อยๆ ละคลายไปได้ ต่อเมื่อเราค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง

        เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน เรื่องที่ใครจะชักชวนให้ไปปฏิบัติ หรือให้ไปรู้แจ้งอะไร หรือให้หลงผิดอะไร แต่เป็นเรื่องที่ขณะนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ฟังธรรมแล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยิน ได้ฟังแค่ไหน เช่น ฟังเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แล้วก็กำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ทุกคนก็บอกว่า เข้าใจยากเหลือเกินว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะเหตุว่าเคยชินต่อการจำได้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร แม้ไม่เห็นก็ยังจำได้ถึงคนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า กว่าจะละ กว่าจะคลาย การที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องอาศัยความจริง ความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ไม่มีความเข้าใจเลย แล้วก็อยากให้สติสัมปชัญญะเกิด อยากรู้การเกิดดับของสภาพธรรม เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเป็นผู้ที่มั่นคงในเหตุผล ก็จะรู้ได้ว่า ปัญญารู้อะไร ปัญญาต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ จะไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏได้ไหม ในเมื่อสิ่งนั้นไม่ได้ปรากฏ แต่เมื่อสิ่งที่กำลังปรากฏมี แล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเรียกว่าอะไรคะ ปุถุชน หนาแน่นด้วยความไม่รู้ และความไม่รู้ คนอื่นก็ไม่สามารถวัดได้ นอกจากเราเอง เริ่มจะที่จะเห็นความจริงว่า ความไม่รู้ของเราหนาแน่นระดับไหน ขณะที่ความคิดเกิดตามสิ่งที่ปรากฏ โดยสิ่งนั้นไม่มี เพราะหมดไปแล้ว เป็นประจำในชีวิตประจำวัน

        เพราะฉะนั้นความไม่รู้ระดับนี้ ต้องอาศัยการฟัง และความเข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วปัญญาที่เข้าใจก็ทำให้เราอยู่ในหนทางละ ไม่ใช่อยู่ในหนทางที่อยากจะได้สิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เช่น อยากจะได้ความเห็นถูก สามารถเป็นพระโสดาบัน สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรม โดยไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

        ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นทุกวันนี้กระผมพิจารณาจากตัวผมเองว่า อยู่ได้ด้วยความคิดทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะรับประทานอาหาร ก็เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นปลาเค็ม เป็นข้าวต้ม

        สุ. แต่อย่าลืมว่า ไม่มีใครห้ามคิด ไม่ได้ห้ามคิดค่ะ ไม่ต้องไปกังวลสนใจ เห็นปลาเค็ม เห็นแกงจืด เห็นอะไรก็เป็นปกติธรรมดา

        ผู้ฟัง ทั้งๆ ที่ลักษณะนั้นก็ปรากฏต่อหน้าต่อตา

        สุ. อะไรคะปรากฏต่อหน้าต่อตา

        ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตาครับ

        สุ. ค่ะ เท่านั้นเอง สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตา คือ สิ่งที่ปรากฏ นอกจากนั้นคิด

        ผู้ฟัง แล้วแทนที่ศึกษาธรรมมานาน แทนที่จะมีความใส่ใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา กลับไปใส่ใจในเรื่องราว

        สุ. แล้วก็มัวอยากจะรู้ความจริงที่จะให้สติเกิด แต่ขณะนั้นไม่รู้

        ผู้ฟัง ถ้าหากผู้ที่ศึกษาพระธรรม แล้วไม่เข้าใจว่า ในขณะใดกำลังคิด แล้วจะเข้าใจความจริงของลักษณะของธรรม ได้ไหมครับ

        สุ. เพราะฉะนั้นการฟังธรรม คือ การฟังเรื่องสภาพที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูป ให้เข้าใจขึ้น

        ผู้ฟัง แม้กระทั่งความคิดที่ปรากฏว่า ขณะนี้กำลังคิดอีกแล้ว ไม่ปรากฏเลยครับ

        สุ. ก็ไปนั่งคิด ไม่ฟังสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังขณะนี้ว่า มีสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่คิด คิดก็คือสภาพธรรมชั่วขณะ ซึ่งไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ใช่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และความคิดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เรา

        ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นในชีวิตประจำวัน ความเป็นอยู่ สุข ทุกข์ต่างๆ ก็อยู่ได้ด้วยความคิดทั้งนั้นเลย เห็น แล้วก็คิดว่าเป็นคนโน้นคนนี้

        สุ. เห็นแล้วคิด คิดดับไหม

        ผู้ฟัง ดับครับ

        สุ. แล้วอะไรเกิดต่อ

        ประทีป บางทีความคิดก็เกิดต่อ บางทีก็ได้ยิน

        สุ. ก่อนจะคิด มีอะไรเกิดต่อไหมคะ

        ผู้ฟัง ก่อนจะคิดก็ต้องมีลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดปรากฏ แต่ไม่ได้สนใจในลักษณะนั้นเลย

        สุ. เพราะฉะนั้นก็อยู่ด้วยความไม่รู้ไปเรื่อยๆ

        ผู้ฟัง ตรงนี้ถ้าไม่เข้าใจ แล้วโอกาสที่จะเข้าใจตัวจริงของธรรม หรือลักษณะของธรรม ก็ไม่สามารถเข้าใจได้

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 279


    หมายเลข 12121
    23 ม.ค. 2567