จิตที่รู้เจ็บได้เป็นจิตประเภทไหน


        ผู้ฟัง ทุกข์ที่กาย ถ้าเกิดรู้ว่า ลักษณะที่เกิดนี่คือทุกข์ อย่างมีของแข็งตกใส่เท้าแล้วเจ็บ แต่สิ่งที่ปรากฏ สภาพธรรมจริงๆ แข็งไม่ได้ปรากฏ แต่ปรากฏเป็นความเจ็บ เจ็บนี้ก็คืออารมณ์ของจิตขณะที่เรารู้สภาพธรรมนั้นที่ปรากฏใช่ไหมคะ

        สุ. อันนี้ก็ต้องละเอียดที่จะรู้ว่า จิตเกิดดับสืบต่อกันเร็วมาก ทุกขเวทนาเกิดกับจิตประเภทไหน ความรู้สึกเป็นทุกข์มี ขณะนั้นที่ความรู้สึกเป็นทุกข์เกิดขึ้นมี มีกับจิตประเภทไหน เกิดกับจิตประเภทไหน นั่นอย่างหนึ่ง แต่ความรู้สึกนั้นก็เกิดสืบต่อ แม้ว่าจะมีจิตอื่นเกิดคั่นทางทวารต่างๆ ก็ตาม แต่ลักษณะของความรู้สึกที่ไม่สบาย เป็นทุกข์ก็ยังคงปรากฏอยู่นั่นเอง แต่ว่าตามความจริงก็คือกายวิญญาณเกิดขึ้น มีความรู้สึก คือ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย คือ เวทนาเจตสิกประเภทนั้นเกิด ไม่ใช่ตัวจิต แล้วก็ดับไป แต่เป็นปัจจัยที่จะทำให้ความเจ็บจะเกิดอีก ความเจ็บก็เกิดอีกสืบต่อเสมือนไม่ดับ

        เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจจริงๆ ว่า สิ่งที่เราพูด เราพูดถึงจิตดวงไหน ขณะไหน เป็นกายวิญญาณซึ่งกำลังรู้สิ่งที่กระทบ และมีทุกขเวทนาเกิดร่วมด้วย หรือเราพูดถึงความรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ชอบเลย ซึ่งไม่ใช่ขณะที่มีทุกขเวทนา ไม่ใช่กายวิญญาณ แต่เป็นจิตอื่นซึ่งเกิดสืบต่อ

        เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม เป็นเรื่องที่ทำให้สามารถเข้าใจความเป็นไปของจิตอย่างละเอียด ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพื่อให้มีความมั่นคงที่จะรู้ว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

        ผู้ฟัง อย่างกายวิญญาณก็รู้อารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ทางกาย ก็คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว แต่ลักษณะของเวทนาที่เกิดกับกายวิญญาณ ก็คือสุขกับทุกข์ ทีนี้ขณะที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏทางกาย คือ ทุกอย่างเป็นสภาพธรรม เมื่อสิ่งนั้นปรากฏถึงจะเป็นลักษณะของเวทนาที่ปรากฏ เวทนานั้นก็เป็นอารมณ์ของจิต คือ กาย วิญญาณนั้นได้

        สุ. กายวิญญาณจะรู้เวทนาไม่ได้เลย กายวิญญาณรู้เฉพาะสิ่งที่เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง ตึง หรือไหว แต่ขณะนั้นมีทุกขเวทนาเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นจิตที่กำลังมีทุกขเวทนาเป็นอารมณ์ กำลังรู้ลักษณะของทุกขเวทนา ขณะนั้นไม่ใช่กายวิญญาณ เพราะว่ากายวิญญาณมีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ กายวิญญาณจะมีทุกขเวทนาเป็นอารมณ์ไม่ได้

        ผู้ฟัง แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมีจิตหนึ่งที่รู้ลักษณะของเวทนาเป็นอารมณ์ ใช่ไหมคะ

        สุ. แน่นอนค่ะ จิตเกิดแล้วดับไปอย่างเร็วมาก เหลือเพียงนิมิตของสังขารทั้งหลาย

        ผู้ฟัง เมื่อกี้ที่คุณสุถาม กายวิญญาณก็รู้โผฏฐัพพะ และสงสัยต่อว่า ทุกขเวทนา ตัวเขาไม่ต้องโดนรู้ หรือคะ งงว่าแล้วอะไรรู้ทุกขเวทนา

        สุ. เวลาที่ทุกขเวทนาปรากฏ มีจริงๆ ใช่ไหมคะ ขณะนั้นเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก

        ผู้ฟัง ทุกขเวทนาเป็นเจตสิก

        สุ. นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แม้ขณะนั้นเรายังไม่รู้ความต่างของจิตกับเจตสิกเลย ใช่ไหมคะ แต่ลักษณะของทุกขเวทนาไม่ใช่จิต เป็นสภาพที่เกิดกับจิตประเภทหนึ่ง คือ กายวิญญาณ แต่ลักษณะของทุกขเวทนาที่ปรากฏ เป็นสภาพนามธรรม เพราะฉะนั้นจิตที่สามารถรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมได้ ต้องเป็นจิตประเภทไหน

        ผู้ฟัง ต้องเป็นมโนทวาร

        สุ. ไม่ใช่กายวิญญาณ และขณะที่กำลังรู้ลักษณะของทุกขเวทนา ชอบ หรือไม่ชอบ

        ผู้ฟัง ไม่ชอบ

        สุ. ค่ะ เพราะฉะนั้นก็เป็นจิตที่เป็นอกุศลที่กำลังมีทุกขเวทนาเป็นอารมณ์

        ผู้ฟัง ก็คือโทสมูลจิต ใช่ไหมคะ

        สุ. ค่ะ

        ผู้ฟัง ทุกขเวทนาเป็นเจตสิก ไม่ใช่วิบากเจตสิก ใช่ไหมคะ

        สุ. ขอโทษนะคะ ทั้งจิต และเจตสิกที่เกิดเพราะกรรมเป็นวิบาก จิตก็เป็นวิบาก เจตสิกก็เป็นวิบากด้วย เพราะแม้วิบากเจตสิกนั้นก็เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย

        ผู้ฟัง ทุกขเวทนาก็เป็นวิบากเจตสิก

        สุ. ถูกต้องค่ะ กายวิญญาณพร้อมเจตสิกที่เกิดร่วมกันเป็นวิบาก เป็นผลของกรรม

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 277


    หมายเลข 12107
    23 ม.ค. 2567