คิด


        ผู้ฟัง เมื่อกล่าวถึงทุกข์ หรือทุกขสัจจะ ในความเป็นจริงของชีวิตประจำวัน แม้แต่สุขก็คือทุกข์ แต่ว่าไม่สามารถรู้ได้แม้เพียงขั้นความคิดว่า ขณะที่เป็นสุขก็คือทุกข์ค่ะ ท่านอาจารย์

        สุ. สุขเที่ยงไหมคะ เดี๋ยวนี้สุขนั้นอยู่ที่ไหน กลับมาอีกได้ไหม หรือว่าสุขใหม่เกิดแล้ว ไม่ใช่อันเก่า

        ผู้ฟัง อย่างเช่น เรารู้สึกร้อน เราเป็นทุกข์ เราก็ไปอาบน้ำ ก็รู้สึกว่าสบาย

        สุ. ความรู้สึกร้อน เป็นความรู้สึก ต้องดับไปก่อนที่จะรู้สึกสบาย

        ผู้ฟัง แต่ว่าเกิดต่อเนื่องสืบต่อตลอด และทำให้เราร้อนตลอด แต่เราก็เดินไปอาบน้ำ ซึ่งจริงๆ ก็เป็นเรื่องราว แต่มองไม่เห็นว่า ลักษณะของความสบายนั้น

        สุ. มีจริงหรือเปล่าคะ

        ผู้ฟัง มีจริงค่ะ

        สุ. เกิดหรือเปล่าถึงได้ปรากฏ เดี๋ยวนี้มีไหม ความสบายนั้นยังอยู่หรือเปล่า ความสบายตอนที่เดินไปอาบน้ำแล้วสบายยังอยู่หรือเปล่า

        ผู้ฟัง ถ้าจะตอบก็คือไม่อยู่แล้ว

        สุ. นี่คือดับแล้ว เกิดแล้วก็ต้องดับ สภาพธรรมใดที่เกิดแล้วไม่ดับ ไม่มี ทุกอย่างที่เกิดต้องดับไป และก็เร็วด้วย สั้นมาก ถ้าไม่ประจักษ์ว่า สุขเวทนา ทุกขเวทนาหรือสภาพธรรมใดๆ เพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าไม่ประจักษ์อย่างนี้ก็พอใจยึดมั่นในความรู้สึกที่เป็นสุข และก็แสวงหาความสุข ไม่รู้ความจริงว่า เพียงชั่วขณะที่เกิดแล้วก็หมดไป

        ผู้ฟัง แต่ลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ที่เป็นความจริง คือ ลักษณะของปรมัตถ์ ไม่ได้ปรากฏ แต่เราอยู่ในขั้นของการศึกษา และมีความเข้าใจขั้นนึกคิด เมื่อเรามีความเข้าใจขั้นนึกคิด เราก็ไม่สามารถคิดได้ว่า สุขนี้หมด หรือทุกข์ไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา แล้วก็หมดไป แต่ว่าในชีวิตประจำวัน สุขก็คือสุข ทุกข์ก็คือทุกข์

        สุ. เพราะฉะนั้นจะกล่าวว่าสภาพธรรมไม่ปรากฏไม่ได้ ตราบใดที่มีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่จิตกำลังรู้ ถ้าความรู้สึกเป็นสุขมีจริงๆ ที่เราใช้คำว่า “รู้สึกเป็นสุข” ขณะนั้นก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง จะกล่าวว่า ไม่มี ไม่เกิด ไม่ปรากฏไม่ได้ แต่ไม่รู้การเกิด และการดับ ของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ อย่างเห็น มีจริงแน่นอน กำลังเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วยแน่นอน กำลังเห็นสิ่งนั้น แต่ไม่รู้ความจริงว่า เห็น และสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เกิดแล้ว ดับแล้วอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นเราไม่ต้องมานั่งฟังหรอก ไม่ต้องมานั่งเรียนให้ค่อยๆ เข้าใจว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ เมื่อเกิดมาแล้วด้วยความไม่รู้ ก็ไม่รู้ไปตลอดชาติ กี่ภพกี่ชาติก็ไม่รู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ และสุขทุกข์ก็มาไม่ตรงกับที่เราหวังด้วย ใครหวังไม่ได้เลย แล้วตัวอย่างในชีวิตประจำวัน ข่าวคราวต่างๆ ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว ที่ทำให้สิ่งนั้นๆ เกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถดลบันดาลได้ แล้วก็เป็นอย่างนี้ไปทุกชาติ บางคนก็บอกว่า ก็ยังไม่เบื่อ เพราะไม่ใช่ปัญญาที่รู้จริงๆ ว่า ขณะนี้เป็นธรรม ซึ่งเกิดแล้วดับ ยังมีเราที่สามารถจะเปลี่ยนแปลง ยังมีเราที่หวังว่าจะได้สิ่งที่ดีในอนาคตใกล้หรือไกลก็แล้วแต่ ยังมีความผูกพันกับผู้คน เครือญาติ มิตรสหายในโลกนี้ ในสิ่งต่างๆ

        เพราะฉะนั้นจะจากไปทำไม ในเมื่อกำลังผูกพัน และก็ไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ บางคนก็บอกทนได้ ทั้งๆ ที่ทุกข์อยู่ก็ทนได้ พอทนได้ ขอเพียงมีชีวิตต่อไป

        ผู้ฟัง สิ่งเหล่านี้ทำให้ ถ้าจะตอบจริงๆ ว่าอยากไหมถ้าจะไม่เกิดอีก บางคนก็อาจจะตอบว่า ถ้าเกิดแล้วพบสิ่งที่ไม่ดีหรือเป็นทุกข์ ก็จะไม่เกิด แต่ถ้าจะเกิดแล้ว จะอยู่ในที่ดี และเป็นสุข ก็จะเกิด ก็ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์จริงๆ ว่า ศึกษาธรรมเพื่อที่จะสิ้นสุดของสังสารวัฏฏ์

        สุ. เพราะฉะนั้นยังไม่ทันไปถึงเรื่องสิ้นสุดของสังสารวัฏฏ์ เพียงแค่มีสิ่งที่ปรากฏแล้วไม่รู้ แล้วไปคิดเรื่องไปเกิดดีหรือไม่เกิดดี ถ้าเกิดดีก็เกิด ถ้าเกิดไม่ดีก็ไม่อยากจะเกิด นี่คือคิดทั้งหมด ถ้าสิ่งที่มีในขณะนี้เกิดแล้วเพราะอะไร ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้เกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิดให้ทราบว่า ไม่มีใครเปลี่ยนดลบันดาลให้เป็นอย่างหนึ่งอย่างใดได้เลย แต่สิ่งใดที่เกิดแล้วเป็นอย่างไร เพราะมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น

        ด้วยเหตุนี้อย่างไรๆ ก็ตาม เราไม่สามารถจะไปเลือกให้เกิดหรือไม่เกิด และไม่สามารถจะไปเลือกภพภูมิตามความต้องการได้ แต่สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ควรเข้าใจถูก หรือว่าผ่านไป ไม่เข้าใจมาแล้วตั้งแต่เกิด ก็ผ่านไป ไม่เดือดร้อน หรือว่าควรเข้าใจถูกต้องขึ้น และถ้าเข้าใจแล้ว จะไปคิดเรื่องจะเกิดที่ไหน หรือไม่อยากเกิดที่ไหน เพราะแค่คิดค่ะ ความจริงใครจะไปเกิดที่ไหน ไม่สามารถมีใครจะไปรู้ได้

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 270


    Tag  คิด  
    หมายเลข 12063
    23 ม.ค. 2567