ยังไม่ถึงลักษณะที่เป็นธาตุ


        อ.วิชัย เราได้ศึกษาในส่วนของรูป ก็พอที่จะเข้าใจได้ เพราะเหตุว่าโดยธรรมดาแล้ว ก็จะมีรูปที่ปรากฏอยู่ ๗ รูป โดยปกติ ก็คือ สี เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ รูป ๗ รูปนี้ก็ปรากฏตลอดแทบจะทั้งวัน แต่ว่าโดยสภาพของนามธรรมที่เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ซึ่งโดยการศึกษา เราก็พอจะเข้าใจได้ เช่น ความติดข้อง ความยินดี ความพอใจ หรือในส่วนของโทสะ ความขุ่นเคือง ความประทุษร้าย พอจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจกับลักษณะจริงๆ ธาตุรู้ที่จะมีสิ่งเหล่านี้เป็นอารมณ์ เหมือนกับว่าเคยมีความเข้าใจในความติดข้อง แต่ว่าพอศึกษาก็ค่อยรู้ชื่อขึ้น หรือครับท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏแก่ปัญญาจะแตกต่างจากความรู้ก่อนอย่างไรครับ

        สุ. เวลาที่ปัญญาขั้นฟังเกิด ก็จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มี แต่ว่ายังไม่รู้ลักษณะของสิ่งนั้น แต่รู้จักชื่อ เช่น เวลาพูดถึงนามธรรม ก็เริ่มที่จะเข้าใจว่า เป็นสภาพที่มีจริง ไม่ใช่รูปธรรม แต่ขณะนี้ก็มีนามธรรม กำลังเห็น กำลังได้ยิน เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจว่า พอได้ยินแล้ว นามธรรมเป็นสภาพที่ไม่มีรูปร่าง แต่เป็นธาตุที่สามารถรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ในขั้นการฟังสามารถเข้าใจได้ แต่ขณะนี้ก็มีสภาพธรรมนั้นแหละที่ไม่มีรูปร่างเลย และเป็นสภาพที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิดนึก

        เพราะฉะนั้นเราจะเข้าใจเรื่องราวของสภาพธรรม แต่ยังไม่รู้ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมเลย เพราะเหตุว่าการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ ต้องเพราะสติสัมปชัญญะเกิด มีลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏแล้ว แต่ว่าสติจะรู้ลักษณะนั้นหรือไม่รู้ลักษณะนั้น แต่ว่าลักษณะนั้นก็กำลังมี เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียง หรือลักษณะที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ก็มี ไม่ใช่ไม่มี แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่มีนั้นแหละสามารถจะรู้ลักษณะ ไม่ใช่รู้แต่ว่ามีรูป ๗ รูป อันนี้รู้ แล้วรูปที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้มี กำลังปราก

        นี่คือขั้นฟัง และเข้าใจความจริงว่าขณะนี้สิ่งที่มีปรากฏมีแน่นอน แต่ยังไม่ถึงลักษณะที่เป็นธาตุ หรือเป็นธรรมของสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าเพียงได้ฟัง แต่ว่าตลอดเวลามา จำเป็นคน เป็นสัตว์ ลืมที่จะรู้ลักษณะแท้ๆ ของสิ่งที่สามารถกระทบปรากฏเปิดเผยในลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ แต่จะปรากฏได้ ต่อเมื่อกระทบกับจักขุปสาท

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 269


    หมายเลข 12056
    23 ม.ค. 2567