คนเป็น-คนตาย


        ผู้ถาม และจะเทียบเคียงกับที่ว่า ครั้งพระพุทธเจ้าเคยตรัสกับภรรยาของพราหมณ์ที่ไปล่าเนื้อ และภรรยาเหลาลูกดอกให้ และภรรยาพราหมณ์บรรลุถึงขั้นโสดาบัน แล้วมีคำถามว่า ทำไมนางจึงเหลาลูกดอกเพื่อให้สามีไปฆ่าสัตว์ พระพุทธเจ้าก็เปรียบเหมือนกับมือที่ไม่มีบาดแผล ถือยาพิษไป ยาพิษนั้นก็แล่นเข้าสู่มือไม่ได้ จะเปรียบเทียบกันได้ไหมครับกับการที่ผมปฏิบัติไป จริงๆ แล้วไม่อยากจะทำอย่างนั้นเลย

        สุ. อันนี้คงไม่พูดอย่างนี้แล้วใช่ไหมคะ ทำไปโดยที่ความจริงไม่อยากทำอย่างนั้น ต้องแบ่งเป็น ขณะที่ไม่อยาก กับขณะที่ทำ ปนกันไม่ได้เลย ฉันใด จิตของสามีเป็นจิตของภรรยาหรือเปล่า

        ผู้ถาม ไม่ใช่ครับ

        สุ. ต่างคนต่างจิต อย่างที่ใจพูดว่า ต่างจิตต่างใจ ตามการสะสม เพราะฉะนั้นจะให้ปัญญาของภรรยาซึ่งเป็นพระโสดาบันแล้ว ไปทำการฆ่า ไม่ได้เลย แต่หน้าที่ของภรรยา มี ถึงภรรยาไม่ทำ สามีก็ทำเองได้ แต่เจตนาของสามีกับเจตนาของภรรยาก็ต่างกัน

        นี่ก็จะเห็นได้ว่า แม้จะอยู่ร่วมกันในสถานที่เดียวกัน แต่การสะสมที่ต่างจิตต่างใจมานานแสนนาน ทำให้แม้แต่ขณะนี้แต่ละคนที่กำลังฟังพระธรรมก็คิดต่างกัน และเข้าใจต่างกันด้วย

        ผู้ถาม แล้วอย่างนี้ถ้าอาจารย์ให้ผมฆ่า ผมก็ให้อาจารย์ฆ่าแทนได้ไหมครับ

        สุ. ไม่มีเรื่องสมมติเลยค่ะ ธรรมทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ถ้าสมมติ นี่สมมติไม่มีวันจบ แต่ไม่รู้ความจริง ก็ได้แต่สมมติ แต่พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไม่ใช่อย่างนั้นเลย ทุกคำจริง พร้อมที่จะให้เข้าใจสิ่งที่ทรงแสดง เช่น ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ ไม่เคยสนใจ ไม่เคยได้ฟังพระธรรม ไม่รู้ความจริงว่า แท้จริงแล้วน่าอัศจรรย์ไหมคะ หรือธรรมดา เห็นธรรมดา ตื่นมาลืมตาธรรมดา แต่ลองคิดดู กำลังหลับสนิท ไม่มีอะไรปรากฏ มีจิตหรือเปล่า

        นี่คือคิดเอง ไตร่ตรองเพื่อที่จะเป็นความเข้าใจความต่างของคนเป็นกับคนตาย ต่างกันไหมคะ คนเป็นกับคนตาย

        ผู้ถาม ต่างกันครับ

        สุ. ต่างกันอย่างไร

        ผู้ถาม คนตายแล้วไม่สามารถจะรับรู้

        สุ. ค่ะ คนตายไม่สามารถจะรับรู้ คือ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิดนึก ไม่อะไรทั้งสิ้น เพราะว่าไม่มีจิตที่เกิดขึ้นทำกิจการงานแต่ละประเภทในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

        เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่ตาย นอนหลับสนิท ยังมีจิตอยู่ ถูกต้องไหมคะ ต่างกับคนตาย แต่จิตขณะนั้นไม่เห็นแล้วก็ไม่ได้ยินอะไร ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัสกาย ไม่ได้คิดนึก ไม่ฝันด้วย ขณะนั้นแสดงว่ามีอะไรของโลกนี้ปรากฏให้รู้หรือเปล่าว่า กำลังอยู่ที่ไหน ชื่ออะไร

        ผู้ถาม ไม่มีครับ

        สุ. ไม่มีอะไรจะปรากฏเลย แม้แต่ว่าวันนี้เป็นเราไปโน่นมานี่ คิดโน่นคิดนี่ ทำโน่นทำนี่ แต่พอหลับสนิท หายไปไหนหมดคะ ทั้งวันนี่หายไปไหนหมด ไม่เหลือเลย เพราะขณะนั้นจิตไม่ได้เกิดขึ้นเห็น ไม่ได้เกิดขึ้นได้ยิน ไม่ได้เกิดขึ้นได้กลิ่น ไม่ได้เกิดขึ้นลิ้มรส ไม่ได้เกิดขึ้นรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ได้คิดนึก แต่จะมีคำที่เราใช้บ่อยๆ ภวังค์ แต่บางท่านก็อาจจะไม่ทราบความหมายจริงๆ ว่า ภวังคจิตเป็นจิตที่ดำรงภพชาติ หลังจากที่ปฏิสนธิเกิดมาเป็นบุคคลนี้ ยังจากโลกนี้ไป ยังตายไม่ได้ เพราะเหตุว่ายังมีกรรมที่จะให้ผลทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จนกว่าจะถึงวาระจะจากโลกนี้ไป ก็คือจิตขณะสุดท้ายเกิดดับไป และเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ไม่สามารถจะเป็นคนนี้อีกต่อไปได้ แต่ระหว่างที่ยังไม่ตาย และหลับสนิท ก็มีจิตที่ดำรงภพชาติ

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 248


    หมายเลข 11862
    10 ม.ค. 2567