ทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรม แต่ไม่รู้


        ประทีป เราจะพิจารณาจากเวทนาเป็นหลัก หรือจะพิจารณาจากจิตเป็นหลักในการที่จะรู้ว่าเป็นกุศล หรืออกุศล วิบาก กิริยา

        สุ. ขณะนี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ ยังไม่ได้รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมใดสักอย่างหนึ่ง หรือว่ากำลังรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมหนึ่ง

        ประทีป ขณะนี้ยังไม่มีครับ

        สุ. ขณะนี้ยังไม่มี เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า เราศึกษาสิ่งที่มี และเกิดดับอย่างรวดเร็วมาก จากการศึกษาทราบได้ ถ้าไม่มีกาย หรือกายปสาทตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ทุกขเวทนา ความรู้สึกเป็นทุกข์ จะมีได้ไหม

        ประทีป มีไม่ได้ครับ

        สุ. มีตา เคยเจ็บตาไหมคะ

        ประทีป เคยครับ

        สุ. มีหู เคยปวดหูไหม

        ประทีป เคยครับ

        สุ. มีกระเพาะ มีลำไส้ แล้วแต่เราจะเรียก แต่เป็นกายที่มีกายปสาทตรงไหน ก็เป็นปัจจัยให้ความรู้สึกเป็นทุกข์ที่กายเกิดขึ้น ต้องเรียกอะไรหรือเปล่า

        ประทีป ไม่ต้องเรียกครับ แต่มีลักษณะให้รู้ได้

        สุ. มีให้รู้ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่มีให้ไปคิดว่าชื่ออะไร

        ประทีป ถ้าอย่างนั้น ท่านอาจารย์กล่าวอย่างนี้ ก็หมายความว่าในขณะศึกษา ขณะฟัง ขณะอ่าน ขณะที่กำลังคิดพิจารณา ก็เป็นลักษณะเรื่องราวที่เราได้ศึกษาตามความเป็นจริง

        สุ. ถูกต้องค่ะ อย่างกายวิญญาณ สภาพที่รู้ทางกาย เกิดร่วมกับสุขเวทนาก็ได้ เกิดร่วมกับทุกขเวทนาก็ได้ นี่คือความที่เราฟัง และพิจารณาว่าถูกต้อง ที่กายมีกายปสาทซึมซาบอยู่ตลอด เป็นปัจจัยให้เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวเมื่อย เดี๋ยวคัน เดี๋ยวปวด ก็แล้วแต่ที่กาย อาศัยกาย ทุกขเวทนานั้นจึงเกิด นี่ขั้นฟัง แต่ว่าไม่ได้เข้าใจในลักษณะที่เป็นสภาพธรรม อย่างเวลาที่เจ็บ ลักษณะที่เจ็บ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ไม่มีใครไม่รู้จักเจ็บ ใช่ไหมคะ ถ้าไม่รู้จัก ก็ตีเข้าทีหนึ่ง ก็จะรู้จักว่า เจ็บมีลักษณะอย่างไร ต้องรู้จักแน่ๆ แต่ไม่รู้ความจริงว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เป็นลักษณะหนึ่ง แล้วทั้งวันก็มีลักษณะของสภาพธรรมทั้งนั้นเลย ที่จะกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นธรรม หรือธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็เพราะเหตุว่าทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรม แต่ไม่รู้

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 243


    หมายเลข 11734
    10 ม.ค. 2567