รู้ความต่างกันของปัญญาขั้นต่างๆ


        สุ. เพราะฉะนั้นเวลาเจ็บ ไม่ใช่ให้ไปรู้ว่า เป็นทุกขกายวิญญาณ เพราะอาศัยกายปสาท สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ไม่ใช่ แต่ลักษณะที่เจ็บ ไม่เคยรู้เลยว่า ลักษณะนั้นเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดปรากฏ ต่างกับลักษณะอื่น ต่างกับเห็น ต่างกับสิ่งที่ปรากฏทางตา เพื่อที่จะได้รู้ว่า เป็นธรรมทั้งหมด

        นี่ก็แค่หนึ่ง ก็ไม่รู้ ใช่ไหมคะว่าเป็นธรรม แต่กล่าวว่า “ทุกอย่างเป็นธรรม” แล้วก็กล่าวต่อไปว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา” คือ ทั้งหมดที่ได้ฟัง แต่ลักษณะจริงๆ ที่เรากำลังพูดถึง เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงทุกอย่าง ยังไม่ได้รู้ด้วยสติสัมปชัญญะ เพราะฉะนั้นจึงรู้ความต่างกันว่า ความรู้ขั้นฟังอย่างหนึ่ง ความรู้จริงๆ ที่เกิดพร้อมกับสติสัมปชัญญะนั้นอีกอย่างหนึ่ง ความรู้ขั้นประจักษ์จริงๆ ที่จะละความเป็นเรา อีกขั้นหนึ่ง

        ประทีป แต่ความเข้าใจนั้น ก็จะต้องจำจากชื่อหรือเรื่องราวต่างๆ

        สุ. ถ้าคุณประทีปจะไม่จำว่า กายวิญญาณ หรือทุกขเวทนา อกุศลวิบาก แต่ลักษณะความเจ็บมี ให้เข้าใจตรงนั้นว่า ลักษณะเป็นสภาพธรรมที่เป็นลักษณะอย่างนั้น เกิดแล้วก็ดับด้วย แต่ยังไม่ประจักษ์ แต่เริ่มรู้ว่า มีลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างในชีวิตประจำวันที่ปรากฏโดยไม่รู้เลย และก็ยึดถือว่าเป็นเราหรือของเราทั้งนั้น ถึงจะรู้จากการฟังก็เป็นขั้นฟัง เพราะว่าลักษณะจริงๆ แม้มี แต่สติสัมปชัญญะยังไม่ได้รู้ตรงลักษณะนั้นตราบใด ก็ยังคงเป็นเพียงการคิดเรื่องนั้นอยู่

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 243


    หมายเลข 11735
    10 ม.ค. 2567