กว่าจะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ


        ท่านอาจารย์ ธรรมกำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่ปรากฏ เหมือนอยู่ในความมืดสนิท นานแสนนานมาแล้ว ก็มีแต่คน มีแต่สัตว์ มีแต่วัตถุต่างๆ แต่พอได้ฟังว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่มี มีเมื่อเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี และต้องกระทบจึงได้ปรากฎ ถูกต้องไหมคะ เสียงอยู่ในป่าไม่ได้กระทบหู ปรากฏไหม เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่ง สิ่งใดที่ปรากฏ เพราะกระทบแค่นี้ค่ะ ไม่มีเราเลย จะไปทำอะไรได้ แต่สิ่งที่มี มีธรรมที่กระทบสิ่งนั้น ทำให้เกิดขึ้น มีการเห็นบ้าง มีการได้ยินบ้าง เช่น เสียงกระทบหู เกิดแล้ว เพราะกระทบ ถ้าไม่กระทบเลย ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น แค่แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ชัดเจน ที่จะนำมาสู่ความเข้าใจทั้งหมดที่ได้ฟัง คือ เดี๋ยวนี้

        เพราะฉะนั้น การที่ได้ฟังธรรม แล้วกว่าจะถึงการเข้าใจสภาพธรรมที่มีเดี๋ยวนี้ ก็รู้ได้เลยนะคะ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทุกขณะ ทุกกาล แต่ว่าสิ่งที่มีนั้น เกิดขึ้น มี กับความไม่รู้มานานมาก เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงวาระที่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มี ที่กำลังปรากฏจริงๆ เดี๋ยวนี้ได้ ต้องอาศัยความอดทน ใช่ไหม อย่างอื่นไม่สามารถจะนำมาสู่ความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏได้เลยทั้งสิ้น ไม่ว่าอะไรทั้งหมด นอกจากความเข้าใจที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อย วันนี้เราคิดถึงธรรมน้อยกว่าคิดถึงอย่างอื่น ใช่ไหม คนจัดดอกไม้ก็คิดถึงดอกไม้ คนทำอะไรก็แล้วแต่ ใช่ไหม ก็คิดถึงสารพัดเรื่องทั้งวัน เมื่อไหร่ล่ะคะที่จะคิดถึงธรรม เมื่อฟัง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังเลย จะคิดถึงไหม เพราะเหตุว่า ฟังแล้วก็ลืมทันที ว่าเดี๋ยวนี้เองเป็นธรรม ทั้งๆ ที่ฟังไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม แต่ถ้าไม่พอ สะสมไม่พอ เราก็คิดถึงอย่างอื่นตลอด ไม่ว่าได้ยินเดี๋ยวนี้ ก็ยังคิดถึงเสียงโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นถึงความหนาแน่น และความไม่รู้ ซึ่งประมาทไม่ได้เลย จะเอาความเป็นตัวตนไปเร่งรัด ไปให้รู้ไม่ได้ แต่ขันติความอดทน เป็นบารมีที่สามารถจะทำให้จากการฟัง และเริ่มคิดถึงธรรมบ่อยขึ้น จากเรื่องสารพัดเรื่องซึ่งเราคิดถึงทั้งวัน ทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ จิตใจจดจ่อ เรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องโน้นสารพัด ธรรมปรากฏก็ไม่รู้ และก็มีธรรมตลอดเวลาก็ไม่รู้สักอย่างเดียว

        เพราะฉะนั้น เมื่อฟังขณะใด เริ่มเข้าใจขณะนั้น เพราะฉะนั้น ความเข้าใจที่เกิดขึ้นเท่านั้น ที่จะค่อยๆ สะสมการเห็นประโยชน์ โดยว่าไม่ใช่เป็นตัวตน แต่เห็นค่าของการที่ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้น จากการที่คิดถึงเรื่องอื่นมากมายหลายเรื่อง และก็รู้ว่าแค่คิด จากโลกขึ้นไปแล้วไม่มีเลยอีกต่อไปทุกเรื่อง คิดในชาตินี้ คิดว่าสำคัญเหลือเกิน อยู่ไหน ไม่รู้จัก ไม่มี ใช่ไหมคะ กับสิ่งที่ติดตามไปถึงชาติหน้า คือต้องมีสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย แต่ว่าความรู้หรือความไม่รู้ จากชาติหนึ่ง ชาติหนึ่งที่สะสม ก็จะค่อยๆ ทำให้มีการได้ยินได้ฟัง มีปัจจัยที่จะไตร่ตรอง เห็นประโยชน์ เเล้วก็คิดถึงธรรม โดยไม่ต้องไปบังคับเลย เพราะว่า เราจะคิดถึงอะไรเนี่ย เราไม่ได้บังคับให้คิด บังคับให้คิด บังคับไม่ได้เลย ลืมคำหนึ่ง เช่น ลืมชื่อคน คิดสิคะ คิดเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ไม่ต้องไปบังคับ คิดออก ก็ได้ ใช่ไหมคะ ทุกอย่างแสดงความเป็นอนัตตาชัดเจน แต่ปัญญาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย อวิชชาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย ต้องปัญญาที่เกิดจากการฟังนี่แหละ นำมาสู่ความคิดถึงคำที่ได้ฟังบ่อยๆ ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม อาจจะคิดนะคะ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม แต่ยังไม่ถึงธรรมแต่ละหนึ่ง แต่เริ่มคิดละ

        เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่ของเราเนี่ย ลองคิดดู เห็นหนึ่งขณะจิต แต่คิดกี่ขณะ ได้ยิน จิตเกิดขึ้นทำสวกิจ คือ กิจได้ยินหนึ่งขณะ จิตเกิดก่อนไม่ได้ยิน จิตเกิดทีหลังก็ไม่ได้ทำกิจได้ยิน แต่รู้สิ่งนั้นได้โดยคิด เพราะฉะนั้น หลังจากที่เห็นหนึ่งขณะ นำมาซึ่งสิ่งทั้งปวงมากมายมหาศาล เรื่องที่เราฟังยาวๆ เนี่ย เห็นกี่ขณะ ได้ยินกี่ขณะ ไม่รู้กี่ขณะ เพราะฉะนั้น กว่าจะการฟังธรรมแล้วก็ นำมาสู่การที่เริ่มคิดว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม แม้ยังไม่รู้ถึงลักษณะหนึ่ง แต่คิดถึงละ เพราะฉะนั้น กว่าจะค่อยๆ นำไปสู่ความที่ขณะนี้เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ โดยความเป็นอนัตตา เข้าใจทีละหนึ่งในขณะที่ปรากฏโดยความเป็นอนัตตา

        เพราะฉะนั้น ไม่ใช่อะไรเลย นอกจากความเข้าใจซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในสังสารวัฏ แต่ว่าเมื่อได้ฟังแล้ว สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เป็นไปได้อย่างนั้น จากที่เดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจ แต่ขณะนั้น ปัญญาที่ฟังมาแล้ว ไตร่ตรองมาแล้ว สะสมมาแล้วทั้งหมด ถึงเวลาที่จะเกิดเข้าใจในสิ่งที่กำลังมี ไม่ได้บังคับเลย ไม่ได้ไปสู่สำนักปฏิบัติ ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น จึงมีความเข้าใจที่มั่นคงในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ซึ่งเป็นหนทางเดียว ไม่ใช่เป็นชื่ออนัตตา แต่ไม่ใช่เรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง


    หมายเลข 11711
    31 ม.ค. 2567