ธรรมปรากฏเพราะเกิดแล้ว แล้วไม่รู้


        ก็ต้องแยกว่า สิ่งที่จะต้องละก่อน คือ การยึดถือสภาพธรรมด้วยความไม่รู้ว่าเป็นเรา ถ้ายังคงมีตราบใด ที่จะไปดับกิเลสหมดสิ้น สูญเกลี้ยง ไม่เหลือ เป็นสมุจเฉท เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ต้องดับการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรายากไหมคะ ข้อสำคัญ คือ ธรรมปรากฏเพราะเกิดแล้ว แล้วไม่รู้ นานแสนนานมาแล้ว ก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ต่อไปอีกตลอดชาติ พอถึงชาติหน้าก็ไม่รู้อีก เพิ่มไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อไรจะรู้

        เพราะฉะนั้นก็เห็นว่า การฟังธรรมต้องละเอียด ไม่ใช่เราเลยที่จะไปดับความเห็นผิดที่ไม่รู้ แล้วก็ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แต่ทั้งหมดนี่เป็นธาตุ หรือเป็นธรรมแต่ละอย่าง คือ ฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจจริงๆ ว่า เป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละอย่างก็มีลักษณะเฉพาะอย่างๆ ขณะที่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น และสภาพนั้นกำลังปรากฏด้วย เราก็รู้ว่า การศึกษาธรรมก็คือเพื่อที่จะให้รู้ว่า เป็นธรรม และให้เข้าให้เข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะใดที่ไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ ปรากฏ ขณะนั้นเป็นความเข้าใจขั้นฟัง เป็นปริยัติ ยังไม่ถึงการรู้จริงในลักษณะซึ่งได้ยินได้ฟังว่า แท้ที่จริงขณะนี้ สภาพธรรมแต่ละอย่างๆ จริงๆ และปรากฏแต่ละทางจริงๆ และสภาพนามธรรมซึ่งเกิดพร้อมกับเจตสิกซึ่งเกิดดับอย่างรวดเร็ว ก็เป็นสิ่งที่เกิดแล้วดับในความมืด เพราะเหตุว่าปัญญาไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นเลย จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น นี่คือการเป็นผู้ตรง ที่จะไม่หลงทาง ตราบใดที่ไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นก็ไม่สามารถดับกิเลสได้ด้วยเหตุนี้จึงมีคำว่า “มิจฉาสติ” และ “มิจฉาสมาธิ” ด้วย

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 242


    หมายเลข 11706
    10 ม.ค. 2567