เว้นปาปอย่างไร


        ท่านอาจารย์ วันนี้ก็ เป็นวันทบทวนเหตุการณ์ในอดีต เมื่อ ๒๕๖๑ ปีมาแล้ว เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ซึ่งก็มีสิ่งที่สำคัญที่สุด เป็นประโยชน์ที่สุด ก็คือว่า ทำให้เราได้น้อมระลึกถึงผู้ที่ได้ตรัสรู้ ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสาวก ที่ถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น แต่ละท่านกว่าจะได้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็จะต้องมีการได้ฟังธรรม และมีความเข้าใจ เพราะฉะนั้น เรามาที่นี่ ไม่ทราบว่านัดหมายกันหรือเปล่า หรือว่านัดหมายกันบ้าง ไม่นัดหมายกันบ้างนะคะ ที่จะมาฟังธรรม แต่ว่าไม่ใช่เพียงระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เป็นวันที่สมควร ที่จะได้เข้าใจธรรมด้วย ไม่ใช่ว่าเพียง ถึงวันสำคัญ แล้วเราก็มาทำการสักการะบูชา แต่ไม่มีอะไรที่จะบูชาสูงสุดเท่ากับ ได้เข้าใจคำ ที่พระองค์ได้ตรัสรู้ และทรงแสดงไว้นานมาแล้ว แต่ก็ยังเป็นประโยชน์สำหรับเราที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรม เป็นการบูชาสูงสุด ที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สืบต่อไปได้ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้ พระธรรมแต่ละคำที่ได้ฟังต้องไตร่ตรอง และต้องเข้าใจ และต้องรู้ว่า แม้แต่เพียงคำที่ตรัสว่า เว้นบาป ไม่ทำบาปทั้งปวง แค่นี้ค่ะ เหตุใด จึงเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องลึกซึ้งกว่าคำของคนอื่น ใครก็พูดได้ แต่จะพูดว่า อย่าทำบาป แต่ความจริงไม่มีใครสามารถ ที่จะห้ามไม่ให้สภาพธรรมเกิดได้เลย ไม่ว่าสภาพธรรมนั้น จะเป็นธรรมอะไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ เว้นไม่ทำบาป ในขณะที่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหมดเว้นจากบาป ด้วยเหตุนี้ ขณะใดก็ตาม ที่ไม่มีการทำบาป แต่ก็ยังต้องเว้นการที่จะไม่เข้าใจธรรม เพราะเหตุว่า ขณะนั้นเป็นบาป ขณะที่ไม่เข้าใจธรรม คิดดูสิคะ ธรรมกำลังปรากฏ แต่ว่าไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น จะเว้นบาปได้ยังไง ต้องตามลำดับว่า แม้แต่ขณะที่กุศลที่เกิดได้น้อยมาก แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดได้ เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าทั้งวันเนี่ย ปกติในชีวิตเนี่ยก็เป็นอกุศล แต่เว้นบาปเมื่อกุศลเกิด

        เพราะฉะนั้น ขณะใดที่กุศลไม่เกิด ขณะนั้นเว้นบาปหรือเปล่า ก็ไม่ได้เว้นบาป เพราะว่า อกุศลก็ยังเกิด ด้วยเหตุนี้ ประมาทอกุศลไม่ได้เลย สะสมมามาก ประพฤติเป็นไปตามการสะสม จนกว่ากุศลจะเกิด แม้เพียงเล็กน้อย เพราะฉะนั้น ทำความดีให้ถึงพร้อม ประมาทไหม แม้กุศลเล็กน้อยขณะนั้นเกิดแล้ว อกุศลไม่เกิด ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม จึงไม่ประมาทแม้กุศลเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะทางกาย ทางวาจา และทางใจ แต่ถ้าไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้เลย ว่าขณะนั้นไม่ใช่เราเลย ไม่มีตัวตน แต่ว่าขณะนี้กำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เข้าใจถูกต้อง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ว่าขณะนี้เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ชำระจิตให้บริสุทธิ์ไหม แม้เพียงเล็กน้อยนิดหน่อย แต่การที่จะชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความเศร้าหมอง คือ กิเลสทั้งหลายได้ ก็มีหนทางเดียว คือ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่า ธรรม คือ เดี๋ยวนี้เอง กำลังเห็นก็เป็นธรรม ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ชำระจิตหรือเปล่า ก็เป็นเพียงเว้นบาป ขณะนั้นมีปัจจัยที่จะให้กุศลจิตเกิด และก็ไม่ประมาทที่จะทำกุศลไป แต่ที่สำคัญที่สุด ก็คือ ว่ามีความเข้าใจถูก โดยการที่ฟังพระธรรม แล้วก็เข้าใจ และรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ขณะนี้เป็นธรรมที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้วใน ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่ เมื่อใดที่ได้ฟังคำ ไม่ใช่เพียงคิดว่าเว้นบาป แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่ใช่เราที่เว้นบาป เพราะว่า เป็นธรรมทั้งหมด คำพูดที่ทุกคนพูดเสมอ ไม่ทำชั่ว แต่ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ไม่ทำ ไม่ใช่เราที่ไม่ทำ เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระองค์ จะต้องมีความจริงที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจว่า ต่างกับคำของคนอื่น ใครก็บอกใครได้ เว้นชั่ว ไม่ทำชั่ว แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ที่เว้นนั้นไม่ใช่เรา เป็นธรรมทั้งหมด แม้แต่ทำดีก็ไม่ใช่เรา ก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้น คำของพระองค์ต่างกับคำของคนอื่น ที่ทำให้เข้าใจถูกต้องว่า ขณะที่เว้นไม่ใช่เรา ขณะที่ไม่กระทำบาป ไม่ใช่เราขณะที่กระทำบุญ หรือทำความดี ก็เป็นธรรม ขณะนั้น ก็จะเป็นการที่ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความไม่รู้


    หมายเลข 11692
    2 ก.พ. 2567